คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1448/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกาย แม้คู่ความจะไม่ได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นพิจารณาได้ ในเมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ได้คาวมมานั้นฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์แล้วใช้ไฟฉายตีทำร้ายผู้เสียหาย และพรากบุตรสาวอายุ ๑๖ ปี ของผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๔๐, ๓๑๘, ๒๘๔ และขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ทั้งหมดแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย แม้โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษแต่ก็ได้บรรยายการกระทำผิดมา พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา ๒๙๕ จำคุก ๖ เดือน จำเลยอายุไม่เกิน ๑๘ ปี ลดมาตราส่วนโทษ ๑ ใน ๓ จำคุก ๔ เดือน ยกข้อหาฐานปล้นทรัพย์ พรากหญิงไปเพื่อการอนาจาร ข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยต้องขังมาพอแก่โทษแล้วจึงปล่อยตัวไป
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ลงโทษตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยมิได้กระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย พิพากษายกฟ้องในข้อหาฐานทำร้ายอีกกระทงหนึ่ง
โจทก์ฎีกาว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายผู้อื่นแล้ว โจทก์จำเลยต่างไม่อุทธรณ์ คดีถึงที่สุดแล้ว ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจหยิบยกขึ้นพิจารณาอีก
ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายจริง แม้จำเลยจะไม่ได้อุทธรณ์ ในเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกาย ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นพิจารณาได้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะในข้อที่ยกฟ้องในข้อหาฐานทำร้ายร่างกายให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่แก้ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา ๒๙๕ ประกอบมาตรา ๗๖ ให้จำคุกจำเลย ๔ เดือน จำเลยต้องขังมาพอแก่โทษแล้วจึงให้ปล่อยตัวไป

Share