แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ป. ให้จำเลยอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทตั้งแต่ได้รับการยกให้ตลอดมา และจำเลยได้ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทหลังจากที่ดินพิพาทตกเป็นของ ป. แล้วโดย ป. รู้เห็นยินยอม กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยใช้สิทธิอาศัยในที่ดินพิพาทปลูกสร้างบ้านไว้ในที่ดินนั้น บ้านจึงเข้าข้อยกเว้นไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 146
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารขนย้ายออกจากบ้านเลขที่ 41/1 และชดใช้ค่าเสียหาย 10,000 บาท กับค่าขาดประโยชน์เดือนละ 2,000 บาท ให้แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากบ้านดังกล่าว
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยพร้อมบริวารขนย้ายออกจากบ้านเลขที่ 41/1 และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 50,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนายวัน บิดานายประเสริฐ สามีโจทก์ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2521 นายวันได้จดทะเบียนยกที่ดินดังกล่าวให้แก่บุตรคือนายประสิทธิ์ นายกุศล นางทวี ภรรยาจำเลย และนายประเสริฐ โดยนายประเสริฐได้รับที่ดินพิพาทพร้อมบ้านเลขที่ 41/1 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินพิพาท นอกจากนี้นายวันยังแบ่งขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยบางส่วน แต่ทำนิติกรรมเป็นการยกให้ และในวันที่ได้รับยกให้ นายประเสริฐได้นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองแก่สหกรณ์การเกษตรองครักษ์ จำกัด เพื่อเป็นประกันหนี้กู้ยืมของจำเลย จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา และในขณะครอบครองจำเลยได้รื้อบ้านเลขที่ 41 แล้วปลูกบ้านหลังใหม่เลขที่ 41/1 ในที่ดินพิพาท ส่วนนายประเสริฐและโจทก์ได้ออกจากที่ดินพิพาทไปประกอบอาชีพที่อื่น และนายประเสริฐได้ถึงแก่ความตายเมื่อเดือนกรกฎาคม 2537 ต่อมาโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐได้ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทต่อสหกรณ์การเกษตรองครักษ์จำกัด แล้วได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่นายสำราญ…มีปัญหาว่า บ้านเลขที่ 41/1 เป็นส่วนควบของที่ดินพิพาทหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายประเสริฐให้จำเลยอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทตั้งแต่ได้รับการยกให้ตลอดมา และบ้านเลขที่ 41/1 จำเลยปลูกขึ้นหลังจากที่ดินพิพาทตกเป็นของนายประเสริฐแล้ว โดยนายประเสริฐรู้เห็นยินยอม กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยใช้สิทธิอาศัยในที่ดินพิพาทปลูกสร้างบ้านดังกล่าวไว้ในที่ดินนั้น บ้านจึงเข้าข้อยกเว้นไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าบ้านเลขที่ 41/1 เป็นส่วนควบของที่ดินพิพาท จึงเป็นของนายประเสริฐนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อต่อมาโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทไม่ประสงค์จะให้จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไป จำเลยก็ต้องรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไปจากที่ดินพิพาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 41/1 ออกไปจากที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 87 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.