คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1444/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามฟ้องโจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ทางพิจารณาได้ความว่าที่พิพาทเป็นของกรมประชาสงเคราะห์ แม้จะฟังว่าในขั้นแรกโจทก์เป็นผู้ยึดถือที่พิพาทโดยเสียค่าตอบแทนให้ ท.แล้วปลูกห้องแถวขึ้นก็ตาม แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ ถ. ซื้อห้องแถวดังกล่าวได้แล้ว ได้ขายต่อให้กับบุคคลอื่น และมีการโอนต่อมาจนกระทั่งถึงจำเลยซึ่งได้เข้าครอบครองติดต่อกันมา โดยมิได้มีการรื้อถอนแต่อย่างใด เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์มิได้เข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทเลย แสดงว่าโจทก์มิได้ยึดถือที่พิพาทต่อไปแล้ว ทั้งโจทก์มิได้มอบให้ผู้ใดยึดถือที่พิพาทแทน การครอบครองของโจทก์ย่อมสุดสิ้นลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 วรรคแรก โจทก์มิใช่เจ้าของที่พิพาท และไม่มีสิทธิครอบครอง จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย

ย่อยาว

คดีทั้ง 4 สำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งพิจารณาพิพากษารวมกัน

โจทก์ฟ้องทั้ง 4 สำนวนความว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินไม่มีโฉนดหนึ่งแปลง มีห้องแถวปลูกอยู่ 14 ห้อง ได้ขายที่ดินและห้องแถวไปส่วนหนึ่ง คงเหลือที่ดินเนื้อที่ประมาณ 180 ตารางวา ห้องแถว 5 ห้อง ต่อมานางถวิล ทิพย์วิโรจน์ ภรรยาได้ฟ้องหย่าและขอแบ่งสินสมรส ที่สุดได้หย่าขาดจากกันและขายทอดตลาดห้องแถวทั้ง 5 ห้องดังกล่าว แบ่งเงินกันนางถวิล ทิพย์วิโรจน์ ซื้อห้องแถวทั้ง 5 ห้องดังกล่าวจากการขายทอดตลาดแล้วขายห้องแถวทั้งหมดให้แก่บุคคลอื่น แต่โจทก์ยังคงครอบครองที่ดินที่ตั้งห้องแถวตลอดมา ต่อมาโจทก์ทราบว่า นางถวิลขายห้องแถวทั้ง 5 ห้องให้แก่จำเลย และทุกคนได้ขออาศัยที่ดินอยู่ต่อมา บัดนี้ โจทก์มีความประสงค์จะให้จำเลยรื้อห้องแถวออกไป ได้ให้ทนายมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยไม่รื้อ จึงฟ้องให้จำเลยทุกสำนวนรื้อถอนห้องแถวของจำเลยออกไปจากที่ดินโจทก์และเรียกค่าเสียหาย

จำเลยทุกสำนวนให้การทำนองเดียวกัน ความว่า ที่ดินที่ปลูกห้องแถวทุกห้อง เป็นของกรมประชาสงเคราะห์ บรรดาเจ้าของห้องแถวได้สละสิทธิการครอบครองให้จำเลย จำเลยก็ครอบครองมาเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว โดยโจทก์ก็ไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องครอบครอง จึงไม่มีสิทธิจะเรียกร้องคืน

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทุกคนครอบครองห้องแถวพิพาทมาเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์หมดสิทธิฟ้องเอาคืนการครอบครอง พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์ทั้ง 4 สำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้ง 4 สำนวนฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ทางพิจารณาได้ความว่า ที่พิพาทเป็นของกรมประชาสงเคราะห์ แม้จะฟังว่าในชั้นแรกโจทก์เป็นผู้ยึดถือที่พิพาทโดยเสียค่าตอบแทนให้นายเทียบรักชาติ แล้วปลูกห้องแถวขึ้นก็ตาม แต่ปรากฏว่าหลังจากที่นางถวิลไทยภักดี ซื้อห้องแถวดังกล่าวได้แล้ว ได้ขายต่อให้กับบุคคลอื่นและมีการโอนต่อมาจนกระทั่งถึงจำเลยซึ่งได้เข้าครอบครองติดต่อกันมาโดยมิได้มีการรื้อถอนแต่อย่างใดเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว ในระยะเวลาดังกล่าว โจทก์มิได้เข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทเลย แสดงว่าโจทก์มิได้ยึดถือที่พิพาทต่อไปแล้ว ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้มอบหมายให้ผู้ใดยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ เมื่อโจทก์มิได้ยึดถือที่พิพาทต่อไปแล้วการครอบครองของโจทก์ย่อมสุดสิ้นลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 วรรคแรก โจทก์มิใช่เจ้าของที่พิพาทและไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลล่างในผลแห่งคดี

พิพากษายืน

Share