คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้อาวุธปืนแก๊ปยิงผู้เสียหายขณะขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวเข้าปากซอยทางเข้าบ้านในระยะห่างไม่เกิน 5 เมตร กระสุนปืนถูกผู้เสียหายเป็นแผลทะลุบริเวณต้นขาขวา บาดแผลผู้เสียหายมีเลือดออกเป็นจำนวนมากย่อมแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของอาวุธปืนและความรุนแรงของกระสุนปืน หากกระสุนปืนที่จำเลยยิงถูกอวัยวะสำคัญของร่างกาย ก็อาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ แต่เนื่องจากจำเลยยิงขณะผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวปากซอยทางเข้าบ้าน ทำให้ยิงไม่แม่นยำกระสุนปืนจึงไม่ถูกอวัยวะสำคัญของร่างกาย ดังนี้ กรณีหาใช่การกระทำของจำเลยไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุอาวุธปืนที่เป็นปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตา 81 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80
ความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองและฐานพาอาวุธปืนตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง 72 ทวิ วรรคสอง กับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 มีอายุความ 10 ปี และ 1 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 95 (3) และ (5) ตามลำดับ คดีนี้จำเลยที่กระทำความผิดวันที่ 14 กรกฎาคม 2539 นับถึงรับฟ้องคือวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 เกิน 10 ปีแล้ว คดีของโจทก์ในความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวจึงขาดอายุความสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. 39 (6)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 288, 289 (4), 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 9 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 81 วรรคหนึ่ง, 52 จำคุก 4 ปี ยกฟ้องฐานมีและพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และฐานพาอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 14 นาฬิกา จำเลยไปขอยืมรถจักรยานยนต์จากนางกันธิชา ภริยาผู้เสียหาย แต่นางกันธิชาไม่ให้ยืมจำเลยจึงทำร้ายร่างกายนางกันธิชาจนได้รับบาดเจ็บ ต่อมาเมื่อผู้เสียหายกลับมาที่บ้าน นางกันธิชาได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผู้เสียหายฟัง ผู้เสียหายจึงพานางกันธิชาไปแจ้งความต่อนายเริง ผู้ใหญ่บ้าน นายเริงเรียกจำเลยไปสอบถาม จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้ทำร้ายแล้วจำเลยเดินออกจากบ้านผู้ใหญ่บ้านไป หลังจากนั้นเวลาประมาณ 20.30 นาฬิกา ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์พานางกันธิชานั่งซ้อนท้ายออกจากบ้านผู้ใหญ่บ้าน เมื่อขับรถไปถึงที่เกิดเหตุ จำเลยใช้อาวุธปืนแก๊ปยิงผู้เสียหายขณะขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวเข้าปากซอยทางเข้าบ้านในระยะห่างไม่เกิน 5 เมตร กระสุนปืนถูกผู้เสียหายเป็นแผลทะลุบริเวณต้นขาขวามีเศษโลหะคล้ายลูกปืนในรูแผลนับได้ 6 เม็ด อยู่บริเวณเนื้อต้นขา ใช้เวลารักษาบาดแผล 10 วันหาย ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80 มิใช่มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 81 วรรคหนึ่งดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า ที่จำเลยใช้อาวุธปืนแก๊ปยิงผู้เสียหายขณะขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวเข้าปากซอยทางเข้าบ้านในระยะห่างไม่เกิน 5 เมตร กระสุนปืนถูกผู้เสียหายเป็นแผลทะลุบริเวณต้นขาขวา มีเศษโลหะคล้ายลูกปืนในรูแผลนับได้ 6 เม็ดอยู่บริเวณเนื้อต้นขานั้น ได้ความจากคำเบิกความของนางกันธิชาภริยาผู้เสียหายพยานโจทก์ว่า บาดแผลของผู้เสียหายมีเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก ย่อมแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของอาวุธปืนและความรุนแรงของกระสุนปืน ที่สามารถทะลุเนื้อต้นขาจนเป็นรูและมีเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก หากกระสุนปืนที่จำเลยยิงถูกอวัยวะที่สำคัญของร่างกายก็อาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ แต่เนื่องจากจำเลยยิงขณะผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวเข้าปากซอยทางเข้าบ้าน ทำให้ยิงไม่แม่นยำ กระสุนปืนจึงไม่ถูกอวัยวะสำคัญของร่างกาย ดังนี้ กรณีย่อมเป็นการกระทำที่ไม่บรรลุผลเพราะกระสุนปืนที่จำเลยยิงนั้นไม่ถูกอวัยวะสำคัญของร่างกายหาใช่การกระทำของจำเลยไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้เพราะเหตุอาวุธปืนที่เป็นปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำดังข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 81 วรรคหนึ่งนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 หรือไม่ เห็นว่า ความผิดข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคสามโดยพิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง และโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองตามมาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครอง และฐานพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ซึ่งมีระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท อีกบทหนึ่งด้วยนั้น มีอายุความ 10 ปี และ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 (3) และ (5) ตามลำดับ คดีนี้จำเลยกระทำความผิดวันที่ 14 กรกฎาคม 2539 นับถึงวันฟ้องคือวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 เกิน 10 ปี แล้ว คดีของโจทก์ในความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวจึงขาดอายุความ ดังนั้น สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) ชอบที่ศาลจะต้องยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยในความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80 จำคุกตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share