คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดโดยอ้างว่า การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้และคู่ความขอให้ศาลไกล่เกลี่ยเพื่อประนีประนอมยอมความต่อกัน หากศาลมีคำพิพากษาตามยอมจะเป็นผลเสียหายแก่ผู้ร้องสอด จึงเป็นกรณีจำเป็นเพื่อให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องสอดที่มีอยู่ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) เป็นการร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม ผู้ร้องสอดอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ ส่วนโจทก์เดิมและจำเลยอยู่ในฐานะเป็นจำเลย เมื่อคำร้องสอดดังกล่าวมีลักษณะเป็นคำฟ้องตามมาตรา 1 (3) จึงต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามมาตรา 172 วรรคสอง แต่คำร้องสอดของผู้ร้องสอดไม่มีคำขอบังคับโดยชัดแจ้ง จึงเป็นคำร้องสอดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงิน 14,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ และคืนธนบัตรเก่าจำนวน 935 ฉบับ แหวนทอง 2 วง และจี้ทับทิมขอบทอง 1 ชิ้น กับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 17102, 17106, 17107, 17573 และ 20609 ส่วนที่ผู้ตายถือกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง และกันส่วนที่ดิน น.ส. 3 เลขที่ 346 ที่ดินโฉนดเลขที่ 20550, 23716 ถึง 23765, 38065 และ 40375 ในส่วนที่โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้ตาย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดว่า ผู้ร้องสอดเป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมของผู้ตาย โจทก์และจำเลยสมยอมกันจัดแบ่งทรัพย์มรดกของผู้ตาย การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้และคู่ความขอให้ศาลไกล่เกลี่ยเพื่อประนีประนอมยอมความต่อกัน หากศาลมีคำพิพากษาตามยอมจะเป็นผลเสียหายแก่ผู้ร้องสอดจึงเป็นกรณีจำเป็นเพื่อให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องสอดที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ขอให้ศาลอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าเป็นคู่ความ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องสอด
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องสอดว่า ที่ศาลชั้นต้นไม่รับคำร้องสอดไว้พิจารณานั้นชอบหรือไม่ โดยผู้ร้องสอดฎีกาว่าผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดเข้าเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) เมื่อศาลอนุญาตให้เข้าเป็นคู่ความแล้วผู้ร้องสอดจะอยู่ในฐานะเป็นจำเลยซึ่งจะต้องยื่นคำให้การฉบับใหม่เข้ามาในคดี คำร้องสอดของผู้ร้องสอดจึงไม่ต้องมีคำขอบังคับโดยชัดแจ้ง เห็นว่า คำร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) มีลักษณะเป็นคำฟ้องตามมาตรา 1 (3) จึงต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตาม มาตรา 172 วรรคสอง ที่ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดโดยอ้างว่าผู้ร้องสอดเป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมของผู้ตาย จำเลยไม่มีสิทธิจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของผู้ตายเนื่องจากคดีที่จำเลยยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ผู้ร้องสอดกับพวกได้ยื่นคำร้องคัดค้านและคดีอยู่ระหว่างการพิจารณา โจทก์ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวและได้ยื่นคำร้องขอให้ยกเลิกการจัดตั้งมูลนิธิของผู้ร้องสอดเพื่อมิให้ผู้ร้องสอดมีฐานะเป็นนิติบุคคลและไม่อาจรับมรดกตามพินัยกรรม ซึ่งจะทำให้โจท์และจำเลยสมยอมกันจัดแบ่งทรัพย์มรดกของผู้ตาย การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้และคู่ความขอให้ศาลไกล่เกลี่ยเพื่อประนีประนอมยอมความต่อกันหากศาลมีคำพิพากษาตามยอมจะเป็นผลเสียหายแก่ผู้ร้องสอด จึงเป็นกรณีจำเป็นเพื่อให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องสอดที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ขอให้ศาลอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าเป็นคู่ความนั้น เป็นการร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามมาตรา 57 (1) ซึ่งถือว่าเป็นคำฟ้อง ผู้ร้องสอดอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ ส่วนโจทก์เดิมและจำเลยอยู่ในฐานะเป็นจำเลย หากศาลมีคำสั่งรับคำร้องสอดของผู้ร้องสอดแล้ว ผู้ร้องสอดจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปในฐานะเป็นโจทก์ เมื่อคำร้องสอดดังกล่าวเป็นคำฟ้องแต่ไม่มีคำขอบังคับโดยชัดแจ้ว จึงเป็นคำร้องสอดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นไม่รับคำร้องสอดไว้พิจารณานั้บชอบแล้ว และเมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องสอดที่ว่า ผู้ร้องสอดต้องเสียค่าขึ้นศาลหรือไม่ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ฎีกาของผู้ร้องสอดฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share