คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1442/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2 ได้ให้คำจำกัดความของ ‘ค่าชดเชย’ ไว้ว่า หมายถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างนอกเหนือจากเงินประเภทอื่นซึ่งนายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง เมื่อข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัทโจทก์มีว่า บริษัทโจทก์จะจ่ายเงินผลประโยชน์ในการปลดลูกจ้างเป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่าค่าชดเชยซึ่งลูกจ้างจะพึงได้รับตามประกาศกระทรวงมหาดไทยทั้งตามข้อบังคับดังกล่าวแสดงเจตนาไว้ว่า บริษัทโจทก์ประกาศข้อบังคับนี้ก็เพราะมีประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อความตามข้อบังคับนี้จึงแสดงถึงความเอื้อเฟื้อของบริษัทโจทก์ที่สัญญาว่าจะจ่ายเงินค่าชดเชยในการปลดลูกจ้างออกจากงานให้เป็นจำนวนมากกว่าที่ทางราชการกำหนดไว้ดังนั้น เงินผลประโยชน์ในการปลดที่บริษัทโจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างตามข้อบังคับดังกล่าว จึงเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างอันเป็นค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ไม่อาจแปลได้ว่าเป็นเงินประเภทอื่นที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทโจทก์ปลดลูกจ้างออกจากงาน 12 คน โดยโจทก์จ่ายเงินผลประโยชน์ตามกฎข้อบังคับของโจทก์ซึ่งถือว่าเป็นเงินชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 13 มิถุนายน2517 แล้ว แต่จำเลยเห็นว่าไม่ใช่เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน และได้มีคำเตือนให้โจทก์ปฎิบัติตามประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวโดยให้นำเงินไปจ่ายให้ลูกจ้าง ณ ที่ว่าการอำเภอภายใน 15 วัน ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ จึงขอให้ศาลสั่งเพิกถอนคำเตือนของเจ้าพนักงานดังกล่าว

จำเลยให้การว่า เงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างตามข้อบังคับของบริษัทโจทก์ไม่ใช่เงิน “ค่าชดเชย” ตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515

ศาลชั้นต้นเห็นว่า เงินผลประโยชน์ในการปลดที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างมีลักษณะเป็นเงินชดเชย” ตามกฎหมายแรงงาน พิพากษาให้เพิกถอนคำเตือนตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ไม่มีประเด็นเรื่องการโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 จึงใช้ดุลพินิจไม่ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยส่วนประเด็นเรื่อง “ค่าชดเชย” นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่าตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานซึ่งออกประกาศตามความในข้อ 2และข้อ 14 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ข้อ 2 ได้ให้คำจำกัดความของ “ค่าชดเชย” ไว้ว่า หมายถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างนอกเหนือจากเงินประเภทอื่นซึ่งนายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง ข้อเท็จจริงปรากฏตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัทโจทก์ข้อ 23 ว่า บริษัทโจทก์จะจ่ายเงินผลประโยชน์ในการปลดลูกจ้างเป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่าค่าชดเชยซึ่งลูกจ้างจะพึงได้รับตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ประกอบทั้งในวรรคแรกของข้อบังคับของบริษัทโจทก์นี้เองก็ได้แสดงเจตนาไว้เป็นใจความว่า บริษัทโจทก์ประกาศข้อบังคับนี้ก็เพราะมีประกาศของกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ศาลฎีกาจึงเห็นว่า เงินที่โจทก์จ่ายให้แก่บุคคลทั้งสิบสองตามหนังสือที่ 1/2517 ของจำเลย ดังปรากฏรายการการจ่ายในเอกสารหมาย จ.1 ว่าเป็นเงินผลประโยชน์ในการปลดออกนั้น เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างโดยตรง ไม่อาจจะแปลไปได้ว่าเป็นเงินประเภทอื่นซึ่งนายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง ข้อความตามข้อบังคับของบริษัทโจทก์ข้อ 23 นั้น เห็นได้ว่าเป็นการแสดงถึงความเอื้อเฟื้อของบริษัทโจทก์ที่สัญญาว่าอาจจะจ่ายเงินค่าชดเชยในการปลดลูกจ้างออกจากงานให้เป็นจำนวนมากกว่าที่ทางราชการได้กำหนดไว้เท่านั้นเอง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ได้ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานโดยถูกต้องแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share