คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1441/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเข้ามาปลูกโรงเรือนในที่ดินของโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้อนุญาต ขอให้รื้อถอนและใช้ค่าเสียหาย, จำเลยต่อสู้ว่าได้เช่าที่ดินจากผู้มีชื่อ ซึ่งจำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นผู้มีสิทธิให้เช่าดังนี้ ตามฟ้องก็ดีจำเลยต่อสู้ก็ดีไม่เป็นมาในรูปของ ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 1310 ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยปลูกโรงเรือนในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีอำนาจ กรณีจึงต้องตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1310 แต่มาตรา 1310 นี้ มีความแบ่งเป็นสองนัย คือเจ้าของที่ดินประมาทเลินเล่อหรือไม่ ฉะนั้นศาลจะพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนตามที่โจทก์ฟ้องทีเดียวยังไม่ได้จึงต้องพิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องร้องใหม่ตามรูปคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยได้เข้ามาสร้างห้องแถวในที่ดินของโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้อนุญาตโจทก์บอกให้รื้อจำเลยผัดแล้วเพิกเฉยเสีย จึงขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไป และชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยได้เช่าที่ดินนี้จากนายพิศ ซึ่งจำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นผู้มีสิทธิเช่า
ศาลแพ่งพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามรูปคดีต้องฟังว่าจำเลยเข้าปลูกโรงเรือนในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีอำนาจ กรณีจึงต้องตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๓๑๐ คดีนี้จำเลยต่อสู้ไว้ว่าจำเลยได้กระทำไปโดยสุจริต เชื่อว่านายพิศมีอำนาจให้เช่าแต่มาตรา ๑๓๑๐ นี้มีความแบ่งเป็นสองนัย คือเจ้าของที่ดินประมาทเลินเล่อหรือไม่ การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ก็ดี จำเลยต่อสู้ก็ดี ก็ไม่เป็นมาในรูปของมาตรา ๑๐๑๓๐ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนตามโจทก์ร้องขอทีเดียวยังไม่ได้
จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่ไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องร้องใหม่ตามรูปคดี

Share