คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1437/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ได้เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ศาลในคดีอาญาฟังว่าจำเลยไม่ได้บุกรุกและพิพากษายกฟ้อง คดีอาญาถึงที่สุด โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งฐานละเมิดซึ่งข้อเท็จจริงที่จะต้องวินิจฉัยเป็นมูลกรณีเดียวกันคือ จำเลยได้บุกรุกที่ดินโจทก์หรือไม่ ศาลในคดีแพ่งจึงจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่ว่าจำเลยมิได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ ตามบทบัญญัติมาตรา 46 แห่ง ป.วิ.อ..

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้ามาทำลายคันดิน หักและตัดฟันกิ่งสนกิ่งมะขามเทศในที่ดินของโจทก์ แล้วยังสร้างกำแพงคอนกรีตในที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนกำแพงคอนกรีตและให้ชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า จำเลยสร้างกำแพงคอนกรีตในที่ดินของจำเลย มิได้ละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับกันว่า โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาบุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ซึ่งเกิดจากมูลกรณีเดียวกันและคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ได้ความในเบื้องต้นว่า ในมูลคดีเดียวกันนี้โจทก์ได้เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1230/2524 คดีหมายเลขแดงที่ 2498/2525 ของศาลชั้นต้น ซึ่งได้วินิจฉัยไว้ว่าข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า จำเลยได้สร้างกำแพงในเขตที่ดินของจำเลยเองหาได้บุกรุกเข้าไปในเขตที่ดินของโจทก์ไม่ พิพากษายกฟ้อง คดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุด มัปัญหาว่า การพิพากษาคดีนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเพราะข้อเท็จจริงที่จะต้องวินิจฉัยเป็นมูลกรณีเดียวกันคือ จำเลยได้บุกรุกที่ดินโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ศาลจึงจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่ว่าจำเลยมิได้บุกรุกที่ดินโจทก์ ตามบทบัญญัติมาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจำเลยจึงหาได้ละเมิดโจทก์ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นพับ.

Share