คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1436/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ติดกับอาคารของโจทก์ ได้จ้างเหมาให้บุคคลอื่นเป็นผู้ก่อสร้างอาคารในที่ดินของจำเลยโดยจำเลยมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการก่อสร้างแต่อย่างใดเมื่อปรากฏว่าอาคารโจทก์ได้รับความเสียหายเพราะผลจากการก่อสร้าง ผู้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโจทก์ในมูลละเมิดจึงมิใช่จำเลย ที่โจทก์มาฟ้องจำเลยจึงเป็นการสำคัญผิดในตัวบุคคลผู้ทำละเมิด การที่จำเลยปลูกอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากทางราชการและถูกเจ้าหน้าที่ลงโทษปรับไปแล้วนั้น เป็นเรื่องของความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้แตกต่างไปจากความรับผิดในมูลละเมิดอันมีต่อบุคคลภายนอกที่เนื่องมาจากการก่อสร้างอาคารดังกล่าว เมื่อจำเลยมิได้เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง แต่มีบุคคลภายนอกเป็นผู้ว่าจ้างผู้อื่นทำการก่อสร้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายใดๆจากจำเลย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ดินของโจทก์ด้านหลังอยู่ติดกับที่ดินของจำเลย เมื่อต้นปี 2522 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันรื้ออาคารเก่าออกและสร้างอาคารใหม่ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่อาคารของโจทก์ทั้งสอง ขอให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายจำนวน 197,000 บาท
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า นายธวัช เลิศไตรภพ ได้เช่าที่ดินจำเลยเป็นเวลา 12 ปี จำเลยได้จ้างนายพินัยชินะพันธ์มงคล และนายสมดี ศรีหนาจ เป็นผู้ก่อสร้าง โจทก์ต้องว่ากล่าวเอากับผู้ก่อสร้าง อาคารบางส่วนของโจทก์รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลย ขอฟ้องแย้งให้โจทก์ทำการรื้อถอนออกไป
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า อาคารโจทก์ไม่ได้รุกล้ำที่ดินของจำเลยขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหาย49,000 บาทแก่โจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย 49,000 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีคงมีปัญหาในชั้นฎีกาประเด้นเดียวว่าจำเลยหรือบุคคลภายนอกเป็นผู้ละเมิดต่อโจทก์ ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์และจำเลยฟังเป็นยุติว่าอาคารเก่าหลังเดิมในที่ดินของจำเลยได้ถูกรื้อถอนออกแล้วสร้างใหม่เป็นอาคาร 4 ชั้น 3 คูหา ในการก่อสร้างนี้ทำให้โจทก์ซึ่งมีอาคารติดต่อกับจำเลยทางด้านหลังได้รับความเสียหายโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นผู้ก่อสร้างอาคารลงบนที่ดินของจำเลยจึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้น จำเลยต่อสู้ว่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับหากจะมีอยู่จริงก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวเอากับบุคคลภายนอกผู้ว่าจ้างผู้อื่นให้ทำการก่อสร้าง มิใช่มาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ดังนี้ เห็นว่าการก่อสร้างอาคารสูงถึง 4 ชั้น โดยเหตุผลตามธรรมดาแล้วงานดังกล่าวจะต้องกระทำโดยผู้มีความรู้ในเรื่องก่อสร้างจึงจะดำเนินการไปได้โดยมั่นคงปลอดภัยและถูกต้องตามหลักวิชาจำเลยซึ่งมิใช่เป็นผู้มีอาชีพหรือประกอบการในด้านนี้จึงไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นผู้จ้างคนงานมาทำการปลูกสร้างอาคารเอง ซึ่งปัญหานี้จำเลยก็ได้โต้เถียงเป็นข้อเท็จจริงมาตั้งแต่ต้นว่าจำเลยมีข้อตกลงกับบุคคลภายนอกให้สร้างอาคารดังกล่าวโดยจำเลยได้ค่าหน้าดินเป็นผลประโยชน์ตอบแทนโดยที่จำเลยมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการก่อสร้างแต่อย่างใด ทั้งข้อความตามบันทึกรายงานประจำวันในเอกสารหมายล.4 ของเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชย เขต 1 ก็ปรากฏว่า นายสมดี ศรีหนาจ ตัวแทนของผู้รับเหมาซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกมาสอบปากคำอันเนื่องจากโจทก์ที่ 2 ไปแจ้งความเกี่ยวกับความเสียหายที่โจทก์ทั้งสองได้รับจากการก่อสร้างอาคารในที่ดินของจำเลยทั้งสองนั้นก็เป็นบุคคลที่มีชื่อปรากฏในเอกสารหมาย ล.3 ในฐานะผู้รับจ้างร่วมกับนายพินัยชินะพันธ์มงคล ผู้รับเหมาก่อสร้าง เมื่อเป็นดังนี้ผู้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโจทก์ในมูลละเมิดดังกล่าวจึงมิใช่จำเลย การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เป็นเรื่องโจทก์สำคัญผิดในตัวบุคคลผู้ละเมิดเองซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยให้เหตุผลไว้โดยละเอียดแล้ว ส่วนปัญหาที่โจทก์อ้างว่าจำเลยปลูกอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากทางราชการ และถูกเจ้าหน้าที่ลงโทษปรับไปแล้ว แสดงว่าจำเลยเป็นเจ้าของอาคารจึงต้องรับผิดในความเสียหายต่อโจทก์ด้วยนั้น เห็นว่าความรับผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร ฯ กฎหมายบัญญัติไว้แตกต่างไปจากความรับผิดในมูลละเมิดอันมีต่อบุคคลภายนอกที่เนื่องมาจากการก่อสร้างอาคารดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังเป็นยุติแล้วว่าจำเลยมิได้เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง แต่มีบุคคลภายนอกเป็นผู้ว่าจ้างผู้อื่นทำการก่อสร้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่เสียหายใด ๆ จากจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ’.

Share