คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1436/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภริยาขอหย่าขาดจากสามีเมื่อมีหนี้อันเกี่ยวกับค่าอุปการะเลี้ยงดู เช่นต้องไปซื้อเชื่อสิ่งของและกู้ยืมเงินผู้มีชื่อมาใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นกับการครองชีพของตัวภริยาและบุตรซึ่งสามีมี ีหน้าที่ต้องรับผิด และเมื่อภริยาเรียกร้องให้สามีชำระ, สามีก็ไม่ชำระให้ดังนี้ย่อมตกเป็นภาระแก่ภริยา, ภริยาย่อมขอให้ศาลแสดงว่าสามีมีหน้าที่จะต้องรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวได้ และศาลก็พิพากษาให้สามีมีหน้าที่ต้องรับผิดในหนี้ตามจำนวนที่ภริยาฟ้องมานั้นได้
ในกรณีดังกล่าวนี้ภริยาจะฟ้องแทนเจ้าหนี้โดยเจ้าหนี้ไม่ได้มอบอำนาจให้ไม่ได้หรือจะฟ้องให้สามีชำระหนี้แก่ภริยาเพื่อภริยาจะได้นำไปชำระแก่เจ้าหนี้ก็ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นภริยาจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมายแต่ญาติพี่น้องของจำเลยรังเกียจด่าว่าโจทก์ ๆ จึงต้องไปอาศัยมารดาโจทก์อยู่ และคลอดบุตรที่นั่นต่อมาสุขภาพไม่สมบูรณ์โจทก์ต้องซื้อเชื่อสิ่งของและกู้ยืมเงินผู้มีชื่อมาใช้จ่ายในสิ่งจำเป็นกับการครองชีพของโจทก์และบุตรเป็นเวลา ๒ ปีเศษ รวมเป็นเงิน ๒๘๕๒ บาท เวลานี้เจ้าหนี้ทวงเตือนให้โจทก์ชำระหนี้ โจทก์ขอร้องให้จำเลยชำระหนี้แทนโจทก์บ้างจำเลยก็ไม่ยอมชำระให้ทั้งไม่จ่ายค่าครองชีพให้โจทก์และบุตรต่อไป ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากสามีภริยากัน และให้จำเลยชำระหนี้ค่าครองชีพโจทก์และบุตร ให้เจ้าหนี้แทนโจทก์เป็นเงิน ๒๘๕๒ บาท
วันนัดพร้อมกัน โจทก์จำเลยตกลงกันว่าในข้อหย่านั้นต่างฝ่ายต่างยอมหย่าขาดจากกัน ส่วนข้อขอให้ชำระหนี้ค่าครองชีพให้แทนโจทก์นั้น จำเลยไม่ยอมและปฏิเสธว่าไม่มีหนี้ จึงสืบพยานในข้อนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงดูโจทก์และบุตรรวม ๒๒๐๐ บาท หักเงินที่จำเลยให้โจทก์ไว้แล้ว ๒๐๐ บาท จึงคงให้จำเลยชำระแก่โจทก์ ๒๐๐๐ บาท ให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากสามีภริยากัน และบุตรนั้นให้อยู่กับโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกามีความว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูหรือว่าฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระหนี้แทนโจทก์จำเลยเห็นว่าเป็นฟ้องขอให้จำเลย ชำระหนี้แทนโจทก์หรืออีกนัยหนึ่งฟ้องแทนเจ้าหนี้ ซึ่งโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่าถ้าตามฟ้องถือว่าเป็นการฟ้องแทนเจ้าหนี้ดั่งจำเลยเข้าใจแล้ว ก็เป็นการแน่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหรือหากจะแปลฟ้องไปในทางที่ว่า โจทก์ขอให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เพื่อโจทก์จะได้ไปชำระให้เจ้าหนี้อีกต่อหนึ่ง ดังความเห็นศาลอุทธรณ์ก็ไม่อาจทำให้ได้ดุจกัน เพราะถ้าจำเลยชำระให้โจทก์แล้วหากโจทก์ไม่เอาไปชำระให้เจ้าหนี้ความรับผิดของจำเลยต่อเจ้าหนี้ก็หาหมดไปไม่อีก ประการหนึ่งตามกฎหมาย สามีย่อมเป็นผู้จัดการทรัพย์สินบริคณห์หาใช่ภริยา ดังนั้นจะให้จำเลยผู้เป็นสามีต้องชำระหนี้ให้โจทก์ผู้เป็นภริยา เพื่อไปชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ได้อย่างไร แต่เรื่องนี้ศาลฎีกาเห็นว่าคำขอของโจทก์ในข้อนี้เมื่ออ่านประกอบกับคำบรรยายฟ้องโดยตลอดแล้ว โจทก์คงมุ่งหมายแต่เพียงขอให้ศาลแสดงว่าจำเลยมีหน้าที่จะต้องรับผิดชำระหนี้ดังกล่าว ซึ่งโจทก์มีสิทธิจะขอให้แสดงเช่นนั้นได้ทั้งนี้ก็เพราะเหตุว่าโจทก์ขอหย่าขาดจากจำเลยแล้วเมื่อมีหนี้อันเกี่ยวกับค่า อุปการะเลี้ยงดู ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องรับผิด แลเมื่อโจทก์เรียกร้องก็ไม่ชำระให้ดังนี้ย่อมตกเป็นภาระแก่โจทก์อยู่ เป็นการจำเป็นที่โจทก์จะต้องขอให้ศาลแสดงเสียให้ปรากฎว่าหนี้รายนี้มีอยู่จริงหรือไม่เพียงไรและจำเลเลยจะต้องรับผิดหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้การที่ศาลล่างพิพากษาบังคับจำเลยให้ชำระหนี้ ๒๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์จึงยังคลาดเคลื่อน
จึงพิพากษาแก้ให้จำเลยมีหน้าที่ต้องรับผิดในหนี้ ๒๐๐๐ บาทที่โจทก์ฟ้องรายนี้

Share