คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 336/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายในคำฟ้องว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยรถยนต์บรรทุกซึ่งจำเลยใช้เป็นพาหนะในการกระทำความผิดเป็นของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องประกอบคำรับสารภาพของจำเลยว่ารถยนต์บรรทุกที่ผู้ร้องขอคืนเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ คำสั่งศาลที่ให้ริบรถยนต์ดังกล่าวจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้คืนรถยนต์ของกลางด้วยเหตุว่ารถยนต์ของกลางดังกล่าวมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดไม่ได้
การขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36นั้น เป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา เมื่อผู้ร้องอ้างว่าของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ก็เป็นหน้าที่ของผู้ร้องที่จะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้าง

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ.๒๔๘๒ มาตรา ๓, ๘, ๕๓, ๖๙ ซึ่งได้แก้ไขแล้ว ลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ ๘ ปี ของกลางริบ (จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธศาลมีคำสั่งให้แยกฟ้อง)
ผู้ร้องร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน น – ๔๒๗๐ จันทบุรี ของกลาง
โจทก์คัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ารถยนต์บรรทุกของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดที่ศาลจะพึงริบพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาแรกที่ว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้ริบของกลางรายนี้ชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีฝิ่นไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและเจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมฝิ่นจำนวนหนึ่งกับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน น – ๔๒๗๐ จันทบุรี และคันหมายเลขทะเบียน น – ๓๕๑๙ สกลนคร ซึ่งจำเลยทั้งสองใช้เป็นพาหนะในการกระทำความผิดเป็นของกลาง จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ ๑ ว่ารถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน น – ๔๒๗๐ จันทบุรี เป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดซึ่งต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๓๓ (๑) เมื่อจำเลยที่ ๑ มิได้อุทธรณ์ คำสั่งในเรื่องการริบทรัพย์จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้คืนของกลางรายนี้โดยอ้างเหตุว่ามิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดอันพึงต้องริบนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ปัญหาต่อไปมีว่า ผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ ๑ หรือไม่ เห็นว่า การขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖ นั้น เป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา เมื่อผู้ร้องอ้างว่าของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้องและผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ ๑ ก็เป็นหน้าที่ของผู้ร้องที่จะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้าง แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไปว่าพยานหลักฐานของผู้ร้องมีพิรุธขัด ต่อเหตุผลและแตกต่างกันจนไม่อาจรับฟังเป็นความจริงได้ ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ ๑
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

Share