คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1435/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องบริษัท ร. ที่จำเลยทั้งสิบเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในฐานะนายจ้างรับผิดร่วมกับลูกจ้างของบริษัทที่กระทำละเมิดต่อโจทก์ คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล การที่จำเลยเรียก ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท ร.ย้ายสำนักงานแห่งใหญ่ไปอยู่จังหวัดอื่น ดำเนินการชำระบัญชีเลิกกิจการและแบ่งทรัพย์สินของบริษัท และจำเลยที่ 1 ได้แจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดว่า ได้ส่งแจ้งความถึงเจ้าหนี้ทุกคนของบริษัทเพื่อขอรับชำระหนี้ในการเลิกบริษัทแล้ว โดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบก็ดี เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในระหว่างการพิจารณาคดีแพ่งก่อนโจทก์จะเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท ร.อย่างแท้จริง จึงยังไม่แน่นอนว่าโจทก์กับบริษัท ร. จะมีหนี้ต่อกันหรือไม่ และข้อความที่จำเลยที่ 1แจ้งต่อนายทะเบียนก็มิใช่ข้อความเท็จ โจทก์ยังไม่ใช่ผู้เสียหายคดีไม่มีมูลความผิดฐานโกงเจ้าหนี้และฐานแจ้งความเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จและโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 137, 350 ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องของโจทก์แล้ว มีคำสั่งให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ว่าข้อความที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องมีมูลความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ และความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานหรือไม่นั้น เห็นว่า ในคดีที่โจทก์ฟ้องบริษัทโรงสีข้าวเกษตรชัย จำกัด เรียกค่าเสียหายในกรณีที่ลูกจ้างของบริษัทดังกล่าวขับรถโดยประมาทชนรถแทรกเตอร์ของโจทก์ได้รับความเสียหายนั้น บริษัทโรงสีข้าวเกษตรชัย จำกัด ซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 ได้ให้การต่อสู้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 มิได้กระทำการในทางการที่จ้างและจำเลยที่ 1 มิได้ขับรถโดยประมาท แต่เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทของคนขับรถของโจทก์ปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาของศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ที่โจทก์แนบมาพร้อมคำฟ้อง จึงเห็นได้ชัดว่าในระหว่างที่ศาลพิจารณาคดีแพ่งดังกล่าว ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าโจทก์จะเป็นเจ้าหนี้บริษัทโรงสีข้าวเกษตรชัย จำกัด หรือไม่เพียงใด จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาศาลจังหวัดร้อยเอ็ดเพิ่งพิพากษาคดีแพ่งดังกล่าวให้บริษัทโรงสีข้าวเกษตรชัย จำกัด ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2526 ปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาที่แนบมาท้ายคำฟ้อง ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสิบร่วมกันจัดการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทโรงสีข้าวเกษตรชัย จำกัด ย้ายสำนักงานแห่งใหญ่จากจังหวัดร้อยเอ็ดไปอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ และดำเนินการจัดการชำระบัญชีขอเลิกกิจการบริษัทและอนุมัติให้แบ่งทรัพย์สินของบริษัทดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2526 ก็ดี และการที่จำเลยที่ 1 แจ้งต่อนายอำนวย ธัมมรัคคิต นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2526 ว่าได้ดำเนินการส่งแจ้งความถึงเจ้าหนี้ทุกคนของบริษัท เพื่อให้ขอรับชำระหนี้ในการชำระบัญชีเลิกบริษัทแล้ว แม้จะมิได้แจ้งต่อโจทก์ก็ดี เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในระหว่างพิจารณาคดีแพ่งดังกล่าวก่อนที่โจทก์จะเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทโรงสีข้าวเกษตรชัย จำกัดอย่างแท้จริง จึงยังไม่แน่นอนว่าโจทก์กับบริษัทโรงสีข้าวเกษตรชัย จำกัด จะมีหนี้ต่อกันหรือไม่ และข้อความที่จำเลยที่ 1 แจ้งต่อนายอำนวยก็มิใช่ข้อความเท็จ ฉะนั้น โจทก์ยังมิใช่ผู้เสียหาย คดีของโจทก์ไม่มีมูลความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ และความผิดฐานแจ้งความเท็จตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องของโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share