คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1432/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสามต่างฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ลูกจ้าง กับจำเลยที่ 2 นายจ้าง ให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม และยกฟ้องจำเลยที่ 2 โจทก์ที่ 1 แต่ผู้เดียวอุทธรณ์ ขอให้จำเลยที่ 2 นายจ้างร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ไม่อุทธรณ์ คดีของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 เป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสามต่างใช้สิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกัน รับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามที่โจทก์แต่ละคนจะได้รับ แม้จะฟ้องรวมกันมาแต่หนี้ของโจทก์แต่ละคนสามารถแยกออกจากกันได้ เมื่อโจทก์ที่ 1 อุทธรณ์เพียงผู้เดียว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงไม่มีผลไปถึงคดีของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 (1) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษา ให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ทั้งที่คดีของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ยุติไปแล้วจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ศาลฎีกายกฎีกาของจำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา จึงไม่มีค่าขึ้นศาล ชั้นฎีกาที่จะต้องคืนให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑๐๕,๒๔๘ บาท แก่โจทก์ที่ ๑ ชำระเงิน ๔๔,๑๑๕ บาท แก่โจทก์ ที่ ๒ ชำระเงิน ๒๐๙,๗๖๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๓ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๑๐๕,๒๔๘ บาท ๔๔,๑๑๕ บาท และ ๒๐๙,๗๖๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ตามลำดับ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และไม่ได้มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลยที่ ๒ ทั้งจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ขับรถยนต์โดยประมาท แต่โจทก์ที่ ๒ เป็นฝ่ายขับรถยนต์โดยประมาทด้วยความเร็วสูง เป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์ที่จำเลยที่ ๑ ขับมาและโจทก์ทั้งสามเรียกร้องค่าเสียหายสูงเกินความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๑๐๕,๒๔๘ บาท แก่โจทก์ที่ ๑ ชำระเงิน ๔๔,๑๑๕ บาท แก่โจทก์ที่ ๒ ชำระเงิน ๒๐๘,๔๓๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๓ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๑๐๕,๒๔๘ บาท ๔๔,๑๑๕ บาท และ ๒๐๘,๔๓๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ตามลำดับ นับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๐) จนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม กับให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๕,๐๐๐ บาท ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แก่โจทก์ทั้งสาม และให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ที่ ๑ โดยกำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ให้ ๒,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๒ ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว คดีนี้โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ต่างฟ้องขอบังคับให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้าง กับจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนายจ้างให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์และให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ โจทก์ที่ ๑ เพียงผู้เดียวอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นขอให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะนายจ้างร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ด้วย โดยที่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้อุทธรณ์ ดังนั้นคดีของโจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ ย่อมเป็นยุติหรือถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ฟังข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๑ ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามในทางการที่จ้างแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ รับผิดต่อโจทก์ทั้งสาม ทั้งที่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ มิได้อุทธรณ์ด้วย โดยอ้างว่าความรับผิดดังกล่าวเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลไปถึงโจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ ด้วย ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๕ (๑) นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีของโจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ เป็นอันยุติหรือถึงที่สุดตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้นไปแล้ว ตามคำฟ้องแม้จะฟ้องรวมกันมา แต่หนี้ของโจทก์แต่ละคนสามารถแยกออกจากกันได้ หนี้ของโจทก์แต่ละคนจึงไม่ใช่หนี้ร่วม เมื่อโจทก์ที่ ๑ อุทธรณ์เพียงผู้เดียว คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๘ จึงไม่มีผลไปถึงคดีของโจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๕ (๑) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษาให้จำเลยที่ ๒ รับผิดต่อโจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ ทั้งที่คดีของโจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องเสียเองได้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๘ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ และให้ยกฎีกาของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา จึงไม่มีค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่จะต้องคืนให้ นอกจาก ที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share