แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องในฐานะผู้ให้เช่าซื้อร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลางที่ศาลสั่งริบเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อ เพื่อให้ผู้เช่าซื้อได้รับรถยนต์บรรทุกของกลางคืนไปหาใช่เพื่อประโยชน์ของผู้ร้องเองไม่ จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลาง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 มาตรา 61, 73 ไม่ริบของกลาง ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-3016 นครพนมของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกของกลาง และผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้ศาลมีคำสั่งคืนของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางและผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้คืนรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่า สมควรคืนรถยนต์บรรทุกของกลางให้แก่ผู้ร้องหรือไม่ ผู้ร้องมีนางสาวเบญจภรณ์ ศรีสิงห์ผู้รับมอบอำนาจ เบิกความเป็นพยานว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-3016 นครพนม ของกลาง ซึ่งได้ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดบ่อทรายสินเบญจพล เช่าซื้อรถคันดังกล่าวไปจากผู้ร้องในราคา 1,314,400 บาทโดยผู้เช่าซื้อตกลงผ่อนชำระค่าเช่าซื้อรวม 36 งวด ตามสำเนาสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.4 ต่อมาเมื่อเดือนตุลาคม 2538 ผู้ร้องทราบว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1มีคำพิพากษาให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางเนื่องจากบรรทุกน้ำหนักเกิน เห็นว่าตามสำเนาสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.4 มีการระบุวันที่ผู้เช่าซื้อจะต้องชำระเงินค่างวดแต่ละงวดให้แก่ผู้ร้อง โดยงวดที่ 36 อันเป็นงวดสุดท้ายที่ผู้เช่าซื้อจะต้องชำระเงินค่าเช่าซื้อตรงกับวันที่ 30 ตุลาคม 2539 ดังนั้นเมื่อได้ความจากคำเบิกความตอบคำถามค้านของนางสาวเบญจภรณ์ว่า หลังจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางแล้ว ห้างหุ้นส่วนจำกัดบ่อทรายสินเบญจพลยังชำระค่าเช่าซื้อให้แก่ผู้ร้อง และในปัจจุบันผู้ร้องยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดบ่อทรายสินเบญจพล เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในทางนำสืบของผู้ร้องว่าผู้เช่าซื้อได้เคยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่ผู้ร้องแต่อย่างใด แสดงว่าในวันที่นางสาวเบญจภรณ์เบิกความต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2540ผู้ร้องจึงน่าจะได้รับชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามสัญญาแล้ว และผู้ร้องมีหน้าที่จะต้องโอนรถยนต์บรรทุกของกลางให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดบ่อทรายเบญจพล ผู้เช่าซื้อ ตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อ เมื่อเป็นเช่นนี้หากคืนรถยนต์บรรทุกของกลางให้แก่ผู้ร้องไป ผู้ร้องก็ย่อมจะต้องนำรถยนต์บรรทุกของกลางไปโอนให้แก่ผู้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อที่ยังไม่ถูกบอกเลิก ดังนั้นการร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลางของผู้ร้องจึงเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อเพื่อให้ผู้เช่าซื้อได้รับรถยนต์บรรทุกของกลางคืนไป หาใช่เป็นการทำเพื่อประโยชน์ของผู้ร้องเองไม่ การกระทำของผู้ร้องจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลาง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้คืนรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง