แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 107 เป็นการกระทำความผิดต่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าหรือคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า จึงเป็นความผิดต่อรัฐ รัฐเท่านั้นที่เป็นผู้เสียหาย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ ถึงแม้โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อโจทก์ แต่กรณีเช่นนี้ มาตรา 67 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ได้กำหนดกระบวนการที่จะแก้ไขความเสียหายไว้แล้วว่า ภายในห้าปีนับแต่วันที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าใดตามมาตรา 40 ผู้มีส่วนได้เสียอาจร้องขอต่อศาลให้สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นได้ หากแสดงได้ว่าตนมีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าผู้ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น อันเป็นกระบวนการพิสูจน์สิทธิของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 107 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 และ 83
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าหรือไม่ ที่โจทก์อ้างในอุทธรณ์สรุปได้ว่า การที่จำเลยทั้งสองทราบดีอยู่แล้วว่าเครื่องหมายการค้าคำว่า G.Kabirski ไม่ใช่ของตนเอง แต่โดยเจตนาทุจริตไปแจ้งต่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าว่าเครื่องหมายการค้าคำว่า G.Kabirski เป็นของตนเองและขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่าG.Kabirski ต่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า การกระทำดังกล่าวแม้จะเป็นการกระทำต่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าโดยตรงแต่ก็ย่อมถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายเช่นกัน เพราะเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า G.Kabirski ในประเทศไทยได้ และไม่อาจประกอบธุรกิจในประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดอัญมณีที่ใหญ่แห่งหนึ่งของทวีปเอเชีย ทั้งหากโจทก์นำสินค้าเครื่องประดับอัญมณีของโจทก์ภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่า G.Kabirski เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ก็อาจเป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้าที่จำเลยทั้งสองแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งสองย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์โดยตรงนั้น เห็นว่า ความผิดฐานยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 107 เป็นการกระทำความผิดต่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าหรือคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าจึงเป็นความผิดต่อรัฐ รัฐเท่านั้นที่เป็นผู้เสียหาย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ ถึงแม้โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อโจทก์ แต่กรณีเช่นนี้มาตรา 67 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ได้กำหนดกระบวนการที่จะแก้ไขความเสียหายไว้แล้วว่า ภายในห้าปีนับแต่วันที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าใดตามมาตรา 40 ผู้มีส่วนได้เสียอาจร้องขอต่อศาลให้สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นได้ หากแสดงได้ว่าตนมีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าผู้ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น อันเป็นกระบวนการพิสูจน์สิทธิของโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็ได้ดำเนินการฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีหมายเลขดำที่ ทป. 51/2553 คดีหมายเลขแดงที่ 24/2554 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางแล้ว ดังนั้นการที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานนี้และพิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน