คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1429/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่ภรรยาทำโดยมิได้รับความยินยอม ครั้นศาลชั้นต้นฟังว่าสามีรู้เห็นยินยอมและอนุญาต สามีกลับอุทธรณ์ฎีกาว่าสามีจะต้องให้ความยินยอมเป็นหนังสือ การลงลายพิมพ์นิ้วมือโดยมีพยานรับรองเพียงคนเดียวใช้ไม่ได้นั้น เมื่อข้อกฎหมายนี้มิได้ยกขึ้นอ้างมาแต่ศาลชั้นต้นและมิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแล้ว ศาลฎีกาย่อมไม่วินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่ให้จำเลยที่ ๑ มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินของโจทก์และเพิกถอนนิติกรรมจำนองที่จำเลยใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงให้มีขึ้นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นสามีโจทก์ที่ ๒
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า นิติกรรมทั้งสองฉบับทำ ณ สำนักงานที่ดิน นิติกรรมจึงสมบูรณ์ ข้ออ้างของโจทก์ฟังไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
มีปัญหาข้อกฎหมายมาสู่ศาลฎีกาตามที่โจทก์ฎีกาว่า การทำนิติกรรมขายที่พิพาท กฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือ การยินยอมให้ภรรยาขายก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย แต่หนังสือยินยอมพิมพ์ลายนิ้วมือโดยไม่มีพยานลงชื่อรับรองสองคนจึงเป็นโมฆะนั้น เห็นว่าตามคำฟ้องโจทก์อ้างแต่เพียงข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ ๒ ซึ่งเป็นภรรยาโจทก์ที่ ๑ ทำนิติกรรมโดยไม่ได้รับความยินยอมอนุญาตจากโจทก์ที่ ๑ ผู้เป็นสามี นิติกรรมนั้นจึงเป็นโมฆียะ ครั้นศาลชั้นต้นฟังว่าสามีรู้เห็นยินยอมและอนุญาต โจทก์ที่ ๑ กลับอุทธรณ์ฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่า ต้องได้รับความยินยอมจากสามีเป็นหนังสือ การลงลายพิมพ์นิ้วมือโดยมีพยานลงนามรับรองเป็นพยานเพียงคนเดียว ใช้ไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่าข้อกฎหมายนี้โจทก์มิได้ยกขึ้นอ้างมาแต่ศาลชั้นต้น และไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์

Share