คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1423/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติ ญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494มาตรา 8(1) กำหนดให้ศาลคดีเด็กและเยาวชนมีอำนาจเช่นเดียวกับศาลจังหวัดในคดีอาญาที่มีข้อหาว่าเด็กหรือเยาวชนกระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดเว้นแต่คดีอาญาที่มีข้อหาว่าเยาวชนซึ่งอายุเกินสิบหกปีบริบูรณ์กระทำความผิดในเหตุฉกรรจ์บางประเภทตามที่ระบุไว้รวมทั้งความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340จำเลยที่ 5 มีอายุเกินกว่าสิบหกปีบริบูรณ์และกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ แม้จะกระทำความผิดในท้องที่ที่มีศาลคดีเด็กและเยาวชนเปิดดำเนินการแล้วก็ตาม เมื่อเป็นความผิดที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลคดีเด็กและเยาวชน ศาลอาญาธนบุรีจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ จำเลยที่ 5 ร่วมกับพวกอีก 4 คน พากันขึ้นไปบนรถยนต์โดยสารขณะที่พวกจำเลยทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายอยู่จำเลยที่ 5 ยืนโหนบันไดรถบังไม่ให้คนอื่นเห็นการปล้นทรัพย์ที่พวกจำเลยกระทำเป็นการร่วมกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 5 จึงเป็นตัวการร่วมในความผิดฐานปล้นทรัพย์ การกำหนดโทษและการไม่ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลย สำหรับความผิดที่ร่วมกันเป็นตัวการปล้นทรัพย์ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาพิพากษาลดมาตราส่วนโทษและลดโทษให้จำเลยที่ฎีกา และให้มีผลไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ได้พาอาวุธมีดปลายแหลมไปในเมืองโดยไม่มีเหตุสมควร และจำเลยทั้งห้าโดยจำเลยที่ 3 มีมีดเป็นอาวุธได้ร่วมกันปล้นทรัพย์ของนายวิทยา ปัทมะนาวิน ผู้เสียหายที่ 1ได้นาฬิกาไป 1 เรือน ราคา 1,200 บาท และนายวีระชัย เทศนาบูรณ์ผู้เสียหายที่ 2 ได้นาฬิกาไป 1 เรือน ราคา 800 บาท ในการปล้นทรัพย์จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายกระชากเอานาฬิกาไปจากผู้เสียหายทั้งสองและพูดขู่เข็ญว่า ในทันใดนั้นจะทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสอง เหตุเกิดที่แขวงบางอ้อ เขตบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 371, 83คืนนาฬิกาของกลางแก่เจ้าของ ริบมีดปลายแหลม ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันคืนหรือใช้ราคานาฬิกาข้อมือ 1 เรือน ราคา 1,200 บาทแก่ผู้เสียหายที่ 1 ด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง, 83 สำหรับจำเลยที่ 3มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 อีกกระทงหนึ่งด้วยจำเลยที่ 5 กระทำผิดเมื่อมีอายุ 17 ปีเศษ มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแล้ว จึงไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ วางโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4และที่ 5 คนละ 15 ปี จำเลยที่ 3 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานปล้นทรัพย์จำคุก 15 ปี ฐานพาอาวุธมีดไปในเมืองโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 90 บาท ทางนำสืบของจำเลยทุกคนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ลดโทษให้จำเลยคนละหนึ่งในสามแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 คนละ 10 ปี จำเลยที่ 3 จำคุก 10 ปี และปรับ60 บาท คืนนาฬิกาของกลางให้แก่ผู้เสียหายที่ 2 ริบมีดปลายแหลมด้วยคำขอนอกจากนี้ให้ยก จำเลยที่ 4 และที่ 5 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาแรกตามฎีกาของจำเลยที่ 5 มีว่าคดีสำหรับจำเลยที่ 5 เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลคดีเด็กและเยาวชนหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชนพ.ศ. 2494 มาตรา 8(1) ได้กำหนดให้ศาลคดีเด็กและเยาวชนมีอำนาจเช่นเดียวกับศาลจังหวัดในคดีอาญาที่มีข้อหาว่า เด็กหรือเยาวชนกระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เว้นแต่คดีอาญาที่มีข้อหาว่าเยาวชนอายุเกินกว่าสิบหกปีบริบูรณ์กระทำความผิดในเหตุฉกรรจ์บางประเภทตามที่ระบุไว้รวมทั้งความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340แห่งประมวลกฎหมายอาญา เมื่อคดีนี้เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตราดังกล่าวและจำเลยที่ 5 มีอายุเกินกว่าสิบหกปีบริบูรณ์แม้ในท้องที่ของศาลชั้นต้นจะมีศาลคดีเด็กและเยาวชนเปิดดำเนินการแล้วก็ตาม แต่เมื่อความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340เป็นความผิดที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลคดีเด็กและเยาวชน ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ฎีกาของจำเลยที่ 5 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต่อไป จำเลยที่ 5 ได้ร่วมกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์หรือไม่ ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้แย้งกันฟังได้ว่าในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทั้งสามได้พากันขึ้นรถยนต์โดยสารประจำทางสาย 103 โดยจำเลยที่ 3 มีอาวุธมีดปลายแหลม 1 เล่มติดตัวไปด้วยแล้วจำเลยที่ 1 ได้พูดขอนาฬิกาข้อมือจากผู้เสียหายที่ 1ซึ่งโดยสารอยู่บนรถ แต่ผู้เสียหายที่ 1 ไม่ยอม จำเลยที่ 2จึงดึงมือผู้เสียหายที่ 1 ปลดเอานาฬิกาข้อมือไป ขณะเดียวกันจำเลยที่ 3 ได้พูดขอนาฬิกาข้อมือจากผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งนั่งโดยสารอยู่อีกด้านหนึ่ง ผู้เสียหายที่ 2 ไม่ยอมแต่พอจำเลยที่ 3 มองไปที่นาฬิกาข้อมือของผู้เสียหายที่ 2 อีก ผู้เสียหายที่ 2 ก็รีบถอดนาฬิกาข้อมือให้จำเลยที่ 3 ไป แล้วจำเลยทั้งห้าได้พากันลงจากรถต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจตามจับจำเลยทั้งห้าได้พร้อมกับยึดนาฬิกาข้อมือของผู้เสียหายที่ 2 กับอาวุธมีดปลายแหลม 1 เล่ม จากจำเลยที่ 3เป็นของกลาง ที่จำเลยที่ 5 ฎีกาว่า ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3เอานาฬิกาของผู้เสียหายไปก็เพียงเพื่อหยามผู้เสียหายเท่านั้นไม่มีเจตนาปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยทั้งห้าขึ้นไปบนรถ จำเลยที่ 1 ก็เข้านั่งเบียดผู้เสียหายที่ 1 ทันทีทั้งที่มีคนนั่งเต็มสองคนแล้ว จำเลยที่ 1 ได้พูดขอนาฬิกาจากผู้เสียหายที่ 1 ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกัน แต่พอผู้เสียหายที่ 1ไม่ยอมให้ จำเลยที่ 2 ก็ดึงจำเลยที่ 1 ลุกขึ้นแล้วเข้านั่งเบียดแทนพร้อมกับดึงมือผู้เสียหายที่ 1 ปลดเอานาฬิกาไป ขณะเดียวกันจำเลยที่ 3 ก็เข้านั่งเบียดผู้เสียหายที่ 2 พูดขอนาฬิกา แต่พอผู้เสียหายที่ 2 ปฏิเสธ ก็มองไปที่ นาฬิกาจนผู้เสียหายที่ 2 กลัวจำต้องถอดนาฬิกามอบให้ แล้วจำเลยทั้งห้าก็พากันลงจากรถหลบหนีทันทีโดยเอานาฬิกาข้อมือทั้งสองเรือนไปเป็นกรรมสิทธิ์ด้วย จึงหาใช่เป็นการทำเพียงเพื่อหยามกันดังที่จำเลยที่ 5 ฎีกาไม่ ที่จำเลยที่ 5นำสืบว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 5 ยืนโหนอยู่ที่บันไดหลังของรถยนต์โดยสาร ไม่ทราบเหตุการณ์บนรถนั้น ขัดแย้งกับคำรับของจำเลยที่ 5 เอง ตอนนำชี้ที่เกิดเหตุในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.1แผนที่ 2 กับ จ.12 ซึ่งจำเลยที่ 5 รับว่าขณะจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3บังคับเอานาฬิกาของผู้เสียหายทั้งสองอยู่จำเลยที่ 4 กับที่ 5ได้ยืนบังอยู่บนทางเดินกลางรถระหว่างเบาะนั่งของผู้เสียหายทั้งสองเพื่อบังไม่ให้ผู้อื่นเห็น จำเลยที่ 5 มิได้นำสืบและโต้แย้งมาในฎีกาว่าบันทึกตามเอกสารสองฉบับนี้ไม่ถูกต้องอย่างไร ข้ออ้างที่ว่าจำเลยที่ 5 ยืนโหนบันไดรถไม่ทราบเหตุการณ์บนรถจึงฟังไม่ขึ้นที่จำเลยที่ 5 ยืนบังไม่ให้คนอื่นเห็นการชิงทรัพย์ของจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 จึงเป็นการร่วมกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 5 เป็นตัวการร่วมในความผิดฐานปล้นทรัพย์ ฎีกาของจำเลยที่ 5ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาสุดท้ายตามฎีกาของจำเลยที่ 5 มีว่า โทษจำคุกที่ลงแก่จำเลยที่ 5 สูงไปหรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งห้ากระทำความผิดในขณะแต่ละคนอายุไม่เกิน 20 ปี ได้ร่วมกระทำความผิดโดยเพียงแต่บังคับเอานาฬิกาข้อมือของผู้เสียหายทั้งสอง โดยมิได้ใช้กำลังประทุษร้ายมิได้ใช้อาวุธมาขู่บังคับหรือพูดว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพียงแต่ใช้กิริยาท่าทีในการขู่บังคับ อันเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายเท่านั้น พฤติการณ์แห่งความผิดไม่ร้ายแรงนัก เป็นการกระทำของเด็กวัยคะนอง สมควรลงโทษจำเลยทั้งห้าโดยสถานเบาและลดมาตราส่วนโทษให้ด้วย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับศาลล่างทั้งสอง ในการกำหนดโทษและการไม่ลดมาตราส่วนโทษ ปัญหาการกำหนดโทษและการไม่ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยทั้งห้า สำหรับความผิดในลักษณะนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นเหตุในลักษณะคดี ย่อมมีผลถึงจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่มิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 ศาลฎีกาแก้ไขให้เหมาะสมได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยทั้งห้าคน คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76แล้ว ให้จำคุกคนละ 8 ปี คำให้การในชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยทั้งห้าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา 78ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามแล้ว คงจำคุกจำเลยทั้งห้าคนละ 5 ปี 4 เดือนนอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share