แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เมื่อมีการวางเงินที่ศาลชั้นต้นเพื่อชำระหนี้ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องดำเนินการให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาทราบว่ามีเงินที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษานำมาวางที่ศาลเพื่อให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามารับไป เมื่อมีการดำเนินการแจ้งให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาทราบแล้ว หากเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่มารับเงินไปภายใน 5 ปีนับแต่วันที่วางเงิน เงินค้างจ่ายจำนวนดังกล่าวจึงตกเป็นของแผ่นดิน
หลังจากจำเลยทั้งสามนำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ปรากฏว่าศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งหรือการดำเนินการใดๆ เพื่อให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาทราบว่ามีเงินที่จำเลยทั้งสามนำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา เงินที่นำมาวางดังกล่าวจึงยังไม่เป็นเงินที่ค้างจ่ายอยู่ที่ศาลชั้นต้นที่ผู้มีสิทธิต้องเรียกเอาเสียภายในห้าปีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 323 เงินดังกล่าวจึงยังไม่ตกเป็นของแผ่นดิน โจทก์มีสิทธิได้รับเงินค้างจ่ายที่จำเลยทั้งสามนำมาวางเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำแถลงของโจทก์ฉบับแรกว่า โจทก์มิได้เรียกเอาเงินที่จำเลยทั้งสามนำมาวางศาลภายใน 5 ปี จึงตกเป็นของแผ่นดิน ให้ยกคำแถลง และมีคำสั่งคำแถลงของโจทก์ฉบับที่สองว่า กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำแถลง จึงไม่ถูกต้อง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 100,466 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เท่าที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ต่อมาวันที่ 6 มิถุนายน 2546 จำเลยทั้งสามได้นำเงินจำนวน 117,331 บาท มาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว
โจทก์ยื่นคำแถลงเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2552 ขอรับเงินที่จำเลยทั้งสามนำมาวางศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 ว่า จำเลยทั้งสาม นำมาวางศาลตั้งแต่ปี 2546 โจทก์มิได้เรียกเอาภายใน 5 ปี จึงตกเป็นของแผ่นดิน ให้ยกคำร้อง
ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2552 โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับเงินที่จำเลยทั้งสามนำมาวางศาลอีกครั้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 ว่า จำเลยทั้งสามนำมาวางศาลตั้งแต่ปี 2546 กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำแถลงขอ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายพร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้สั่งอนุญาต แต่การที่จำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่คัดค้านและศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งสำนวนไปยังศาลฎีกา พอแปลได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง แล้ว
ปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิได้รับเงินค้างจ่ายที่จำเลยทั้งสามนำมาวางเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่ ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ 6 มิถุนายน 2546 จำเลยทั้งสามนำเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางที่ศาลชั้นต้นจำนวน 117,331 บาท ซึ่งรายงานเจ้าหน้าที่ของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 6 มิถุนายน 2546 ระบุว่า “ได้รับเงินไว้แล้ว ขออนุญาตนำฝากธนาคาร” ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “อนุญาต” การวางเงินดังกล่าวไม่มีการแจ้งให้โจทก์ทราบ ต่อมาวันที่ 20 กรกฎาคม 2552 โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับเงินที่จำเลยทั้งสามนำมาวางศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 ว่า “จำเลยทั้งสาม นำมาวางศาลตั้งแต่ปี 2546 โจทก์มิได้เรียกเอาภายใน 5 ปี จึงตกเป็นของแผ่นดิน ยกคำแถลง” วันที่ 3 ธันวาคม 2552 โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับเงินดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง วันที่ 22 ธันวาคม 2552 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งเงินดังกล่าวเป็นรายได้ของแผ่นดิน จากนั้นวันที่ 28 ธันวาคม 2552 ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งคำแถลงของโจทก์ว่า “กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำแถลงขอ” เห็นว่า เมื่อมีการวางเงินที่ศาลชั้นต้นเพื่อชำระหนี้ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องดำเนินการให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาทราบว่ามีเงินที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษานำมาวางที่ศาลเพื่อให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามารับไป เมื่อมีการดำเนินการแจ้งให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาทราบแล้ว หากเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่มารับเงินไปภายใน 5 ปีนับแต่วันที่วางเงิน เงินค้างจ่ายจำนวนดังกล่าวจึงตกเป็นของแผ่นดิน แต่คดีนี้หลังจากจำเลยทั้งสามนำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ปรากฏว่าศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งหรือการดำเนินการใดๆ เพื่อให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาทราบว่ามีเงินที่จำเลยทั้งสามนำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา เงินที่นำมาวางดังกล่าวจึงยังไม่เป็นเงินที่ค้างจ่ายอยู่ที่ศาลชั้นต้นที่ผู้มีสิทธิต้องเรียกเอาเสียภายในห้าปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 เงินดังกล่าวจึงยังไม่ตกเป็นของแผ่นดิน โจทก์มีสิทธิได้รับเงินค้างจ่ายที่จำเลยทั้งสามนำมาวางเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำแถลงของโจทก์ฉบับแรกว่า โจทก์มิได้เรียกเอาเงินที่จำเลยทั้งสามนำมาวางศาลภายใน 5 ปี จึงตกเป็นของแผ่นดิน ให้ยกคำแถลง และมีคำสั่งคำแถลงของโจทก์ฉบับที่สองว่า กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำแถลง จึงไม่ถูกต้อง อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้โจทก์มีสิทธิรับเงินจำนวน 117,331 บาท ที่จำเลยทั้งสามนำมาวางเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลในชั้นนี้ให้เป็นพับ