คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1418/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์แยกบรรยายฟ้องเป็นลำดับไปว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 1 แปลง อันเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับภรรยาให้แก่ ส. และ ศ. ตามลำดับ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้โจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของภรรยาจำเลยและได้ยื่นฟ้องภรรยาจำเลยให้ชำระหนี้เงินกู้ต่อศาลไว้แล้วบังคับชำระหนี้เอาจากสินสมรสดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วน แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่ ส. ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว หาได้มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ ศ. ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาด้วยไม่ ทั้งการที่จำเลยจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้อื่นเพื่อโกงเจ้าหนี้ของภรรยาจำเลยนั้น จำเลยย่อมสามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ได้เพียงครั้งเดียว ไม่อาจโอนกรรมสิทธิ์ได้หลายครั้ง ดังนั้นจึงเชื่อว่าที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยจดทะเบียนโอนกรรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ ศ. ด้วยนั้นเป็นการบรรยายฟ้องไม่ถูกต้องและข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่ ส. เท่านั้น ซึ่งการที่จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินสินสมรสเพียงแปลงเดียวให้แก่ ส. โดยมีเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งแม้จะเป็นเจ้าหนี้ของภรรยาจำเลยต่างรายกันบังคับชำระหนี้เอาจากสินสมรสดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วน การกระทำของจำเลยก็คงเป็นความผิดกรรมเดียว หาใช่เป็นความผิดต่างกรรมกันไม่
การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย มุ่งแต่จะรักษาประโยชน์ส่วนตนโดยมิชอบและไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนเสียหายของผู้เป็นเจ้าหนี้ ซึ่งหากปล่อยให้ผู้กระทำความผิดกระทำการตามอำเภอใจเช่นนี้ ย่อมทำให้บรรดาเจ้าหนี้เสื่อมศรัทธาต่อการใช้สิทธิทางศาลในการที่จะฟ้องบังคับชำระหนี้เอาแก่ลูกหนี้ของตน รวมทั้งขัดขวางการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งส่งผลกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมส่วนรวม แม้จำเลยจะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 2 ไปบ้างแล้ว แต่ก็เป็นจำนวนเล็กน้อยยังคงค้างชำระหนี้อยู่เป็นจำนวนมาก พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรงไม่สมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา นางลูกคิด ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน ส่วนที่โจทก์ขอให้ลงโทษสองกรรมนั้น เห็นว่า จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมบ้านให้แก่นายสิทธิศักดิ์ ร้อยบาง เพียงครั้งเดียว แม้จะมีผู้เสียหาย 2 คน การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดกรรมเดียว คำขอส่วนนี้จึงให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 2 กระทง จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 3 เดือน รวมจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์แยกบรรยายฟ้องเป็นลำดับไปว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 24320 อันเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนางศศิธรให้แก่นายสิทธิศักดิ์ กับนายศักดิ์สิทธิ์ ตามลำดับ ทั้งนี้เพื่อมิให้โจทก์ร่วมและพันโทกุลพัชร ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของนางศศิธร และได้ยื่นฟ้องนางศศิธรให้ชำระหนี้เงินกู้ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2546 ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ย.394/2546 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ย.395/2546 ของจังหวัดสมุทรปราการ บังคับชำระหนี้เอาจากสินสมรสดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วน แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวให้แก่นายสิทธิศักดิ์ ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยกับนางศศิธรแต่เพียงผู้เดียว หาได้มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่นายศักดิ์สิทธิ์ ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาด้วยไม่ ทั้งการที่จำเลยจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวให้แก่ผู้อื่นเพื่อโกงเจ้าหนี้ของนางศศิธรภรรยาของจำเลยนั้น จำเลยย่อมสามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ได้เพียงครั้งเดียว ไม่อาจโอนกรรมสิทธิ์ได้หลายครั้ง ดังนั้นจึงเชื่อว่าที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมบ้านให้แก่นายศักดิ์สิทธิ์ ด้วยนั้นเป็นการบรรยายฟ้องไม่ถูกต้องและข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวให้แก่นายสิทธิศักดิ์เท่านั้น ซึ่งการที่จำเลยได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินสินสมรสเพียงแปลงเดียวให้แก่นายสิทธิศักดิ์โดยมีเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งแม้จะเป็นเจ้าหนี้ของนางศศิธรต่างรายกัน บังคับชำระหนี้เอาจากสินสมรสดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วน การกระทำของจำเลยก็คงเป็นความผิดเพียงกรรมเดียวหาใช่เป็นความผิดต่างกรรมกันดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษปรับจำเลยสถานเดียวหรือรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย มุ่งแต่จะรักษาประโยชน์ส่วนตนโดยมิชอบและไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนเสียหายของผู้เป็นเจ้าหนี้ ซึ่งหากปล่อยให้ผู้กระทำความผิดกระทำการตามอำเภอใจเช่นนี้ ย่อมทำให้บรรดาเจ้าหนี้เสื่อมศรัทธาต่อการใช้สิทธิทางศาลในการที่จะฟ้องบังคับชำระหนี้เอาแก่ลูกหนี้ของตน รวมทั้งขัดขวางการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งส่งผลกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมส่วนรวมและจำเลยยังคงค้างชำระหนี้โจทก์ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share