คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14177/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พนักงานอัยการซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ดำเนินการบังคับคดีตามสัญญาประกันจำเลยตาม พ.ร.บ.พนักงานอัยการ พ.ศ.2498 มาตรา 11 (8) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะบังคับคดี ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นให้ออกหมายบังคับคดีแก่ผู้ร้อง (ผู้ประกันที่ 1) ในวันที่ 10 มีนาคม 2542 และศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2542 ต่อมาวันที่ 9 เมษายน 2542 ศาลชั้นต้นในฐานะที่เป็นผู้บังคับตามสัญญาประกันได้ส่งเงินค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีที่ผู้ร้อง (ผู้ประกันที่ 1) วางต่อศาลชั้นต้นให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี ดังนี้ ถือได้ว่าพนักงานอัยการขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้บังคับคดีตามคำสั่งอันเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนในการขอให้บังคับคดีแก่ผู้ร้อง (ผู้ประกันที่ 1) แล้ว เมื่อพนักงานอัยการดำเนินการขอให้บังคับคดีแก่ผู้ร้อง (ผู้ประกันที่ 1) ภายในกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันมีคำสั่ง การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปบังคับคดีเมื่อใดนั้นเป็นขั้นตอนการดำเนินงานของเจ้าพนักงานบังคับคดี แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปบังคับคดีเกินสิบปีนับแต่วันมีคำสั่ง ก็ถือได้ว่าพนักงานอัยการได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำสั่งภายในสิบปีนับแต่วันมีคำสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 แล้ว แม้ต่อมามี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ.2547 มาตรา 34 ให้เพิ่มความเป็นมาตรา 119 วรรคสอง บัญญัติให้ถือว่าหัวหน้าสำนักงานประจำศาลยุติธรรมเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในส่วนที่เกี่ยวกับหนี้ตามสัญญาประกันดังกล่าวก็ตาม ก็ต้องถือว่าผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลชั้นต้นได้มีการร้องขอให้บังคับคดีตามคำสั่งภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำสั่งแล้ว ดังนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีต่อไปโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตขยายระยะเวลาการบังคับคดีแก่ผู้ร้อง (ผู้ประกันที่ 1) อีก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2541 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งปรับผู้ร้องในฐานผู้ประกันที่ 1 ตามสัญญาประกันเป็นเงิน 230,000 บาท ต่อมาวันที่ 18 มีนาคม 2542 ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ยึดอายัดทรัพย์สินของผู้ร้อง วันที่ 1 มิถุนายน 2552 เจ้าหน้าที่รายงานต่อศาลว่า หลังจากศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและส่งเรื่องให้กรมบังคับคดีตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2542 และมีหนังสือสอบถามผลการบังคับคดีมาโดยตลอด แต่กรมบังคับคดียังไม่แจ้งผลมาให้ทราบ ประกอบกับสำนวนที่ต้องบังคับคดีมีเป็นจำนวนมาก อันเป็นเหตุสุดวิสัยและเพื่อประโยชน์ของทางราชการ ขออนุญาตขยายระยะเวลาการบังคับคดีออกไปอีก 4 ปี นับแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2551 ศาลชั้นต้นอนุญาต
วันที่ 18 ตุลาคม 2553 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ขยายเวลาบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ระยะเวลาในการบังคับคดีไม่ใช่อายุความ กรณีไม่เห็นสมควรที่จะเพิกถอนคำสั่ง ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ปรากฏว่าพนักงานอัยการซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ดำเนินการบังคับคดีตามสัญญาประกันจำเลยตามพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ.2498 มาตรา 11 (8) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะบังคับคดียื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นให้ออกหมายบังคับคดีแก่ผู้ร้อง (ผู้ประกันที่ 1) ในวันที่10 มีนาคม 2542 และศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่ผู้ร้อง (ผู้ประกันที่ 1) เมื่อวันที่18 มีนาคม 2542 ต่อมาวันที่ 9 เมษายน 2542 ศาลชั้นต้นในฐานะที่เป็นผู้บังคับตามสัญญาประกันได้ส่งเงินค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีที่ผู้ร้อง (ผู้ประกันที่ 1) วางต่อศาลชั้นต้นต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ดังนี้ ถือได้ว่าพนักงานอัยการขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้บังคับคดีตามคำสั่งอันเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนในการขอให้บังคับคดีแก่ผู้ร้อง (ผู้ประกันที่ 1) แล้ว เมื่อพนักงานอัยการดำเนินการขอให้บังคับคดีแก่ผู้ร้อง (ผู้ประกันที่ 1) ภายในกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันมีคำสั่ง การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปบังคับคดีเมื่อใดนั้นเป็นขั้นตอนการดำเนินงานของเจ้าพนักงานบังคับคดี แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปบังคับคดีเกินสิบปีนับแต่วันมีคำสั่ง ก็ถือได้ว่าพนักงานอัยการได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำสั่งภายในสิบปีนับแต่วันมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 แล้ว แม้ต่อมามีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ.2547 มาตรา 34 ให้เพิ่มความเป็นมาตรา 119 วรรคสอง บัญญัติให้ถือว่าหัวหน้าสำนักงานประจำศาลยุติธรรมเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในส่วนที่เกี่ยวกับหนี้ตามสัญญาประกันดังกล่าวก็ตาม ก็ต้องถือว่าผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลชั้นต้นได้มีการร้องขอให้บังคับคดีตามคำสั่งภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำสั่งแล้ว ดังนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีต่อไปโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตขยายระยะเวลาการบังคับคดีแก่ผู้ร้อง (ผู้ประกันที่ 1) อีก กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของผู้ร้องเพราะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษานี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share