คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1416/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มอบโฉนดที่ดินให้ผู้อื่นไปใช้ประกันจำเลยในคดีอาญาโดยผู้นั้นออกเงินจำนวนหนึ่งไปไถ่ถอนโฉนดนั้นมาจากการที่เจ้าของโฉนดไปวางประกันเงินกู้ไว้กับผู้มีชื่อและตกลงกันว่าเมื่อถอนประกันจำเลยแล้วเจ้าของโฉนดจะคืนเงินจำนวนที่ผู้นั้นออกไปไถ่ถอนโฉนดนั้นมาให้ ถ้ายังหาเงินให้ไม่ทัน ก็ให้ผู้นั้นยึดโฉนดไว้ก่อนดังนี้ ผู้นั้นย่อมมีสิทธิจะยึดโฉนดไว้ได้จนกว่าเจ้าของโฉนดจะปฏิบัติตามข้อสัญญาที่ตกลงกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของโฉนดที่ดินเลขที่ 1767, 7859 และ 386 ตำบลวัดเกตุ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเดือนมีนาคม 2497 จำเลยได้มาขอร้องโจทก์ให้ช่วยประกันตัวนายหมงตันสหะวัฒน์ จำเลยในคดีอาญาดำที่ 375/2497 โจทก์ตกลง แต่เนื่องจากโจทก์ติดธุระจึงได้มอบอำนาจให้จำเลยเป็นผู้นำโฉนดที่ดิน 3 ฉบับ ดังกล่าวมาทำการประกันนายหมงต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ โดยจำเลยได้สัญญากับโจทก์ว่าถ้าโจทก์ต้องการโฉนดคืนเมื่อใด จำเลยจะนำไปคืนให้โจทก์ทันที ครั้นในเดือนเมษายน 2498 โจทก์ต้องการโฉนดคืนและไม่ประสงค์จะทำการประกันนายหมงอีกต่อไป จึงแจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยจึงได้มารับโฉนดทั้ง 3 ฉบับคืนไปจากศาลเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2498 แต่จำเลยหานำโฉนดดังกล่าวไปส่งคืนให้โจทก์ไม่ โจทก์ทวงถามจำเลยก็เพิกเฉยเสีย จึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยส่งคืนโฉนด 3 ฉบับ ดังกล่าวนั้นให้โจทก์

จำเลยให้การว่าโฉนดมีอยู่ที่จำเลยจริง แต่ที่อยู่กับจำเลยนั้น เพราะโจทก์ได้ตกลงยินยอมมอบให้จำเลยยึดถือไว้ก่อน เรื่องเดิมมีว่านายหมง ตันสหะวัฒน์ ถูกฟ้องในคดีอาญา จำเลยได้ขอให้โจทก์นำหลักทรัพย์ไปวางประกัน โจทก์ก็ได้ช่วยเหลือนำโฉนดที่ดิน 2 ฉบับไปวางประกันในชั้นสอบสวน และได้เรียกร้องค่าจ้างการประกันเป็นเงิน 2,000 บาท จำเลยก็ได้จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ไปตอนหนึ่งแล้วครั้นต่อมาชั้นศาล หลักทรัพย์คืนโฉนด 2 ฉบับ นั้นไม่พอวางประกันจำเลยจึงขอร้องให้โจทก์หาโฉนดมาเพิ่มอีก โจทก์ว่ายังมีโฉนดที่ดินอีกแปลงหนึ่ง แต่โจทก์เอาไปวางประกันเงินกู้จำนวนหนึ่งไว้กับผู้มีชื่อ ถ้าจะนำมาวางประกันเพิ่มเติมอีกก็ได้ แต่ต้องหาเงินจำนวน 30,000 บาท ไปไถ่ถอนจึงจะได้โฉนดมา จำเลยจึงรับรองว่าจะหาเงินค่าไถ่ถอนให้โจทก์และจะให้ค่าป่วยการการประกัน 5,000 บาทแก่โจทก์ตลอดไปในศาลชั้นต้นเมื่อศาลพิพากษาแล้วจะได้ถอนประกันเมื่อถอนประกันแล้วโจทก์รับจะนำเงินมาคืนให้จำเลย 25,000 บาท โดยหักเป็นค่าประกันไว้เสีย 5,000 บาท แต่ถ้าหากโจทก์ยังหาเงินมาให้ไม่ทันท่วงที ก็ให้จำเลยยึดโฉนดไว้ก่อน และโจทก์จะทำสัญญากู้เอาโฉนดทั้งหมดวางประกันไว้มีเวลากำหนด 1 ปี นับแต่วันถอนประกันเป็นต้นไป เมื่อเป็นที่ตกลงกันดังกล่าวแล้ว จำเลยจึงได้มอบเงิน 30,000 บาท ให้ไปไถ่ถอนโฉนดมาครั้นเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนายหมงแล้ว จึงได้ถอนประกันมาไว้ แต่โจทก์ก็ยังไม่มีเงิน 5,000 บาท มาให้จำเลย จำเลยจึงจำเป็นต้องยึดโฉนดไว้ และขอให้โจทก์ปฏิบัติตามข้อตกลงคือทำสัญญากู้ไว้ แต่โจทก์ไม่ยอมทำ จำเลยไม่เคยให้สัญญากับโจทก์ว่า ถ้าโจทก์ต้องการโฉนดคืนเมื่อใด จำเลยจะนำไปคืนให้โจทก์ทันทีดังฟ้อง

เมื่อโจทก์ผิดสัญญา ไม่มาทำสัญญากู้ตามที่ตกลงกันไว้ กลับมาฟ้องจำเลยเช่นนี้ จำเลยจึงถือเอาคำให้การนี้เป็นการฟ้องแย้งโจทก์ เพื่อขอศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ บังคับให้โจทก์ชำระเงิน 25,000 บาท ให้แก่จำเลย

ศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นคำให้การ ส่วนฟ้องแย้งเห็นว่าอาศัยมูลหนี้จากการกู้ยืมเงิน ซึ่งไม่มีหนังสือกู้ จึงไม่มีอำนาจจะฟ้องแย้ง และเป็นมูลหนี้คนละอย่าง จะมาฟ้องแย้งไม่ได้จึงให้ยกไม่รับคำฟ้องแย้ง

ในวันนัดพร้อม ศาลสอบจำเลย ๆ รับว่าได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้นำโฉนดที่ดิน 3 ฉบับตามฟ้องไปประกันตัวนายหมงจริง และรับว่าได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอถอนโฉนดดังกล่าวคืนจากศาล โดยกล่าวในคำร้องว่าเมื่อศาลสั่งคืนให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยจะมอบให้แก่โจทก์ต่อไปจำเลยแถลงว่าการที่ไม่ยอมคืนโฉนดดังกล่าวให้โจทก์ เพราะมีข้อตกลงกันก่อนนำโฉนดมาวางประกันตามที่ให้การต่อสู้ไว้ แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ จำเลยจึงไม่คืนโฉนดให้

ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย และพิพากษาว่าตามที่จำเลยแถลงรับมานั้น ถือว่าการที่จำเลยได้รับมอบอำนาจไว้นั้นสุดสิ้นลงแล้ว จำเลยจึงไม่มีอำนาจที่จะยึดถือโฉนดของโจทก์ไว้อีก และจำเลยต้องส่งโฉนดคืนตามที่ยื่นคำร้องไว้ต่อศาล อนึ่ง แม้จะมีข้อตกลงกัน จำเลยก็ไม่มีบุริมสิทธิอันใดที่จะยึดของโจทก์ไว้ต่อไป จึงให้จำเลยคืนโฉนดตามฟ้องให้โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้การที่โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยนำโฉนดมาประกันนายหมงที่ศาลจะสิ้นสุดไปแล้ว และจำเลยยื่นคำร้องว่าขอรับโฉนดคืนเพื่อไปมอบให้โจทก์ก็ดี แต่การที่โจทก์จะเรียกโฉนดคืนจากจำเลยได้หรือไม่นั้น จะต้องวินิจฉัยถึงข้อตกลงหรือสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเสียก่อน ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าถ้าเป็นความจริงตามที่จำเลยต่อสู้ ก็เป็นเรื่องสัญญาต่างตอบแทน จำเลยมีสิทธิที่จะยึดโฉนดของโจทก์ไว้ได้จนกว่าโจทก์จะคืนเงินให้จำเลยตามที่ตกลงกันไว้จึงชอบที่จะสอบข้อเท็จจริงกันต่อไป จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจปรึกษาแล้ว เห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า หากกรณีเป็นความจริงดังจำเลยให้การต่อสู้ จำเลยก็มีสิทธิจะยึดโฉนดของโจทก์ไว้ได้จนกว่าโจทก์จะปฏิบัติตามข้อสัญญาที่ตกลงกัน

ที่โจทก์ฎีกาว่ากรณีนี้เป็นเรื่องกู้ยืมเงินกัน ซึ่งต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือก็เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีสิทธิจะยึดโฉนดของโจทก์ไว้ได้นั้น ฟังไม่ขึ้นเพราะข้อสัญญาตกลงระหว่างโจทก์จำเลยตามที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้นั้น หาใช่เป็นเรื่องกู้ยืมเงินไม่ และไม่มีกฎหมายบังคับให้ทำหลักฐานเป็นหนังสือหรือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด

ส่วนที่ศาลชั้นต้นสั่งยกไม่รับคำฟ้องแย้งก็ไม่เป็นการตัดสิทธิที่จำเลยจะยกเป็นข้อต่อสู้

ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว จึงพิพากษา

ฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นพับ

Share