แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท โดยอ้างว่า โจทก์ซื้อกรรมสิทธิจากเจ้าของเดิมจำเลยเป็นผู้อาศัย จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยอยู่ในฐานะเป็นผู้เช่าจากเจ้าของเดิมไม่ใช่อาศัย จำเลยไม่ได้คัดค้านว่าโจทก์ไม่มีกรรมสิทธิในที่พิพาทโอนกรรมสิทธิมาเป็นของผู้ใดไม่ทราบ หากโอนมาเป็นของโจทก์ๆ ย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ ซึ่งมีต่อผู้เช่าด้วยเท่านั้น ดังนี้ จึงไม่มีความจำเป็นที่โจทก์จะต้องนำโฉนดหรือหนังสือสัญญาซื้อขายมาแสดงต่อศาล เพราะไม่มีประเด็นในคดีว่า โจทก์ไม่ได้รับโอนที่ดินพิพาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินที่โจทก์ซื้อกรรมสิทธิมา โดยอ้างว่าจำเลยอาศัย
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยอยู่ในที่พิพาทในฐานะเป็นผู้เช่า และจำเลยปลูกบ้านอยู่อาศัย จึงได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้มีใจความสำคัญว่า จำเลยเช่าที่ดินรายนี้มาจาก ม.ร.ว.หญิงศรีสฤษดิ์ ปลูกบ้านเรือนเป็นที่อยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ หาได้อาศัยไม่ ต่อมา ม.ร.ว.ศรีสฤษดิ์ โอนกรรมสิทธิที่ดินรายนี้แก่โจทก์ จำเลยมิได้คัดค้านว่าโจทก์ไม่มีกรรมสิทธิแก่ประการใด จำเลยให้การแต่เพียงว่าที่รายนี้โอนกรรมสิทธิเป็นของผู้ใด จำเลยไม่ทราบ หากโอนกรรมสิทธิเป็นของโจทก์ ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ ซึ่งมีผู้เช่าด้วยเท่านั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่โจทก์จะต้องนำโฉนดหรือหนังสือสัญญาซื้อขายมาแสดงต่อศาล เพราะไม่มีประเด็นในคดีว่าโจทก์ไม่ได้รับโอนที่ดินรายนี้
จึงพิพากษาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไปแล้ว พิพากษาใหม่