คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1413/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยเช่าที่ดินจากจำเลยร่วมมาปลูกห้องแถว โจทก์ฟ้องและจำเลยฟ้องแย้ง โดยต่างอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งปลูกห้องแถวรุกล้ำที่ดินซึ่งตนเช่าขอให้รื้อถอนไป ชั้นพิจารณาคู่ความท้ายกันให้ศาลวินิจฉัยประเด็นเดียวว่า อาคารปลูกสร้างของจำเลยมีเนื้อที่เกินกว่า 45 ตารางวาตามสัญญาเช่าหรอไม่ ถ้าเกินจำเลยยอมแพ้ ถ้าไม่เกินโจทก์ยอมแพ้ วิธีรังวัดคู่ความตกลงกันให้วัดจากด้านนอกของอาคาร และให้คำนวณเนื้อที่โดยให้จ่าศาลและช่างรังวัดของจำเลยร่วมเป็นผู้รังวัด ผลของการรังวัดปรากฏว่าอาคารปลูกสร้างของจำเลยมีเนื้อที่ตามที่เจ้าพนักงานที่ไปรังวัดคำนวณเนื้อที่ได้ 56.80 ตารางวา ดังนั้น เมื่อคู่ความตกลงให้ถือว่าอาคารของจำเลยเป็นหลักในการรังวัด มิใช่ให้ถือพื้นที่ที่จำเลยเช่าเป็นหลักรังวัด การรังวัดจึงถูกต้องตามคำท้า และเมื่อผลของการรังวัดปรากฏว่าจำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี ศาลต้องพิพากษาให้เป็นไปตามคำท้านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซ่อมแซมและต่อเติมห้องแถวของจำเลยรุกล้ำบริเวณทางเดินห้องแถวโจทก์ และต่อเติมระเบียงชั้นบนและชายคารุกล้ำบริเวณด้านหลังห้องของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนส่วนที่รุกล้ำ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินที่ตั้งห้องแถวโจทก์อยู่ในสิทธิการเช่าของจำเลย ผู้ครอบครองห้องแถวมีสิทธิเฉพาะภายในอาคาร หามีสิทธิในที่ดินข้างเคียงไม่ จำเลยปรับปรุงค่าซ่อมแซมห้องแถวของจำเลยในที่ดินที่จำเลยมีสิทธิการเช่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยว่าละเมิด จำเลยไม่ประสงค์จะให้โจทก์อาศัยที่ดินในสิทธิการเช่าของจำเลยขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้บังคับขับไล่โจทก์ และบริวารพร้อมกับรื้อห้องแถวออกไปจากที่ดินที่จำเลยเช่าจากกระทรวงการคลัง และให้โจทก์ให้ค่าเสียหายแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ซื้อห้องแถวโดยจดทะเบียนการซื้อขาย ณ ที่ว่าการอำเภอ และโอนสิทธิการเช่าจากนายอำเภอผู้แทนกระทรวงการคลัง จำเลยไม่มีสิทธิขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากโจทก์
จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกกรมธนารักษ์เป็นจำเลยร่วม ศาลอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยร่วมกับโจทก์ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยมีสิทธิตามสัญญาเช่าที่ดินกับจำเลยร่วมซึ่งไม่ใช่ที่ดินที่ตั้งห้องแถวโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจำเลยร่วม
ชั้นพิจารณาคดีคู่ความท้ากันในศาล ให้วินิจฉัยประเด็นเดียวว่าอาคารของจำเลยมีเนื้อที่เกินกว่า ๔๕ ตารางวาตามสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับกระทรวงการคลังหรือไม่ ถ้าเกินจำเลยยอมแพ้ ถ้าไม่เกินโจทก์ยอมแพ้ และให้โจทก์บังคับตามฟ้องแย้งจำเลย วิธีรังวัดคู่ความตกลงกันให้วัดจากด้านนอกของอาคาร ด้านหน้าให้วัดจากมุมชายคาชั้นล่างเป็นแนวตรงดิ่งลงสู่พื้นดิน แล้วลากเป็นแนวเส้นตรง ด้านหลังให้วัดจากส่วนที่ยื่นออกมาด้านข้างมากที่สุดทั้งสองมุม แล้วลากเป็นแนวตรงเข้าหากันทุกมุม จากนั้นให้คำนวณความกว้างยาวของแต่ละด้านพร้อมกับคำนวณเนื้อ โดยตกลงให้จ่าศาลและช่างของกรมธนารักษ์เป็นผู้รังวัด
ผลของการรังวัดปรากฏว่าคำนวณเป็นเนื้อที่ได้ ๕๖.๘๐ ตารางวา อาคารปลูกสร้างของจำเลยจึงมีเนื้อที่เกินกว่า ๔๕ ตารางวา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนฝาผนังชั้นล่าง ชายคาและระเบียงชั้นบนส่วที่รุกล้ำเขตห้องโจทก์และเขตที่ดินที่โจทก์เช่า ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อได้พิเคราะห์ข้อตกลงตามคำท้าของคู่ความซึ่งมีข้อความกล่าวไว้ว่าอาคารของจำเลยเลขที่ ๑๐-๑๒ มีเนื้อที่ ๔๕ ตารางวา ตามสัญญาเช่ากับกระทรวงการคลัง และวิธีรังวัดกำหนดให้รังวัดจากด้านนอกของตัวอาคาร ศาลฎีกาเห็นว่าคู่ความตกลงให้ถือตัวอาคารของจำเลยเป็นหลักในการรังวัด มิใช่ให้ถือพื้นที่ที่จำเลยเช่าเป็นหลักรังวัดดังที่จำเลยฎีกาฉะนั้นการรังวัดจึงถูกต้องตามคำท้า เมื่อผลของการรังวัดปรากฏว่าจำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี ศาลต้องพิพากษาให้เป็นไปตามคำท้านั้น
พิพากษายืน

Share