แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามคำขอของโจทก์จึงไม่มีเหตุที่โจทก์จะอุทธรณ์ แต่เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่พิพาทอันดับ 1,2 ไม่ใช่มรดกของ ส. แต่เป็นของจำเลยก่อสร้างครอบครองมา และแม้จะฟังว่าเป็นมรดกของ ส. ก็ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทร่วมกับจำเลย คดีโจทก์ขาดอายุความ คดีจึงมีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยตามที่จำเลยอุทธรณ์ขึ้นมาว่า โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทอันดับ 1,2 อันเป็นมรดกของ ส.ร่วมกับจำเลยหรือไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นควรฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จำเลยได้แบ่งกันครอบครองที่พิพาทอันเป็นมรดกของ ส. คนละแปลง เป็นส่วนสัดมาช้านาน ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ มิได้ครอบครองที่พิพาททั้งสองแปลงร่วมกันดังที่ศาลชั้นต้นรับฟังมา ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่
โจทก์ฟ้องขอแบ่งครึ่งที่ดินมรดกของ ส. รวม 3 แปลง เฉพาะที่ดินแปลงอันดับ 3 ได้ความว่าจำเลยขายไปก่อน โจทก์จึงไม่ติดใจว่ากล่าว คงพิพาทกันเฉพาะที่ดินแปลงอันดับ 1 เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 20 วา อันดับ 2 เนื้อที่ 6 ไร่ 3 งาน 84 วา ซึ่งมีราคาแปลงละ 4,000 บาทเท่ากัน ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์จำเลยได้รับที่ดินพิพาทซึ่งมีราคาเท่ากันคนละแปลงตามที่ได้แบ่งกันครอบครองเป็นส่วนสัด จึงเท่ากับโจทก์ได้รับมรดกเพียงครึ่งหนึ่ง ไม่เป็นการนอกประเด็นและเกินคำขอของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนายเจียม นางแดง นางแดงเป็นบุตรนายสง นางซุ้น นายสง นางซุ้นตายก่อน นางแดงตายทีหลังเมื่อประมาณ15 ปีมานี้ ทรัพย์มรดกตกได้แก่จำเลยและนางแดงมารดาโจทก์ซึ่งเป็นพี่น้องกัน ได้ปกครองร่วมกันมา นางแดงตายเมื่อโจทก์อายุ 8-9 ปี มรดกส่วนได้ของนางแดงซึ่งปกครองร่วมมากับจำเลย จำเลยได้ตกลงกับโจทก์และบิดาโจทก์ว่าจะปกครองไว้ก่อนจนกว่าโจทก์จะมีครอบครัวแล้วจึงจะแบ่งให้โจทก์บิดาโจทก์กับจำเลยปกครองร่วมกันมา ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยแบ่งที่นาทั้ง 3 แปลงให้โจทก์ครึ่งหนึ่งถ้าไม่แบ่งเนื้อนาก็ขอให้ขายนาโดยวิธีขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกัน
จำเลยให้การว่า ทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับ 1, 2 จำเลยกับสามีเบิกสร้างกันมา
โจทก์และบิดาโจทก์ไม่เคยเข้าปกครองร่วมกับจำเลย จำเลยไม่เคยตกลงจะแบ่งให้โจทก์
คู่ความตกลงกันไม่ติดใจเรียกร้องทรัพย์อันดับ 3
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งทรัพย์อันดับ 1, 2 ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องแก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์กับบิดาโจทก์และจำเลยต่างแบ่งกันครอบครองที่พิพาทส่วนของตนเป็นการเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของพิพากษาแก้เป็นว่า ให้แบ่งคนละส่วนโดยให้โจทก์จำเลยได้คนละแปลงตามที่ครอบครองมา คือ โจทก์ได้นาโพธิ์ จำเลยได้นาพละ
จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ได้รับนาโพธิ์ไปทั้งแปลงไม่ชอบ เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ครอบครองนาโพธิ์ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จึงได้สิทธิในนาแปลงนี้โดยอายุความ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น และพิพากษาเกินคำขอเพราะตามคำขอท้ายฟ้อง โจทก์ขอแบ่งนาโพธิ์เพียงครึ่งเดียว ขอให้แก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะนาพิพาทตำบลบ้านโพธิ์ว่าโจทก์จำเลยได้ครอบครองร่วมกันมา ให้แบ่งให้โจทก์จำเลยคนละส่วน
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามคำขอของโจทก์ จึงไม่มีเหตุที่โจทก์จะอุทธรณ์ แต่เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายอุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทอันดับ 1, 2 ไม่ใช่ของนายสง เป็นของจำเลยก่นสร้างครอบครองมาฝ่ายเดียวและแม้จะฟังว่าเป็นมรดกของนายสง ก็ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทร่วมกับจำเลย คดีโจทก์ขาดอายุความ คดีจึงมีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยตามที่จำเลยอุทธรณ์ขึ้นมาว่า โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทอันดับ 1, 2 อันเป็นมรดกของนายสงร่วมกับจำเลยหรือไม่เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นควรฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จำเลยได้แบ่งกันครอบครองที่พิพาทอันเป็นมรดกของนายสงคนละแปลง เป็นส่วนสัดมาช้านาน ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมิได้ครอบครองที่พิพาท ทั้งสองแปลงร่วมกันดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอแบ่งครึ่งที่ดินมรดกของนายสงรวม 3 แปลงเฉพาะที่ดินแปลงอันดับ 3 ได้ความจำเลยขายไปก่อนแล้วโจทก์จึงไม่ติดใจว่ากล่าวคงพิพาทกันเฉพาะที่ดินแปลงอันดับ 1 เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 30 วา อันดับ 2 เนื้อที่ 6 ไร่ 3 งาน 84 วา ซึ่งมีราคาแปลงละ 4,000 บาทเท่ากัน ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์จำเลยได้รับที่ดินพิพาทซึ่งมีราคาเท่ากันคนละแปลงตามที่ได้แบ่งปันครอบครองเป็นส่วนสัด จึงเท่ากับโจทก์ได้รับแบ่งมรดกเพียงครึ่งหนึ่งไม่เป็นการนอกประเด็นและเกินคำขอของโจทก์
พิพากษายืน