แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงและการกระทำของจำเลยว่า จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมกระทำความผิดฐานยักยอก แล้วโจทก์ยังได้บรรยายฟ้องกล่าวอ้างอีกว่า ในการกระทำอันเดียวกันนั้นเป็นการลักทรัพย์ คำฟ้องของโจทก์จึงขัดแย้งกันอยู่ในตัวเองเป็นฟ้องที่ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (4) จะรับไว้พิจารณาเอาโทษจำเลยมิได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 30/2494)
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยยักยอกทรัพย์โดยระบุวันที่จำเลยได้รับเช็ค และเงินสดไว้ แต่มิได้บรรยายว่า จำเลยได้เบียดบังยักยอกเอาเงินสดไปในวัน เดือน ปี และเวลาใดจะตีเอาว่าโจทก์หมายเอาในระหว่างวันเวลาที่จำเลยได้รับเช็ค และเงินสดนั้นเป็นวันที่จำเลยกระทำผิดก็ไม่ได้ เพราะไม่มีข้อความตอนใดจะให้เข้าใจได้ดังนั้น ฟ้องของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 117/2592)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทง ต่างกรรมต่างวาระกัน กล่าวคือ
ก. จำเลยได้บังอาจเป็นคนร้ายลักเอาเช็ค ๕ ฉบับ คิดเป็นเงิน ๒๑๘,๒๖๗ บาท ของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยไปโดยทุจริต หรือมิฉะนั้นจำเลยได้บังอาจเบียดบังยักยอกเอาเช็คทั้ง ๕ ฉบับดังกล่าว ซึ่งอยู่ในความดูแลครอบครองของจำเลยตามหน้าที่ไปเป็นประโยชน์ของตนและพวกของจำเลยโดยสุจริต
ข. เมื่อระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๑๙ เวลากลางคืนตลอดมาถึงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๑๙ เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยได้รับเงินสดและเช็คเงินสดรวม ๕ ฉบับ จำนวนเงิน ๙๕๑,๘๐๐ บาท (รวมเช็คทั้ง ๕ ฉบับดังกล่าวข้างต้น) ซึ่งลูกหนี้นำมาชำระให้แก่บริษัทร่วมเสรี จำกัด นายจ้างของจำเลย จำเลยลงบัญชีรายวันเงินสดไว้แล้ว แต่ไม่นำส่งมอบเงินสดและเช็คเงินสดดังกล่าวให้สมุห์บัญชีตามหน้าที่ จำเลยกลับเบียดบังยักยอกเอาเงินสดไปเป็นประโยชน์ตนกับพวกโดยทุจริต เป็นเงิน ๗๓๓,๕๓๓ บาท
ค. ฯลฯ จำเลยกับพวกที่หลบหนีทำตั๋วเงินอันเป็นเอกสารสิทธิ ๑๗ ฉบับปลอมขึ้น ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕, ๒๖๖, ๒๖๘, ๓๓๕ (๑๑), ๓๕๓, ๘๓ ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๙๕๑,๘๐๐ บาท แก่เจ้าทรัพย์และริบตั๋วเงิน (เช็ค) ทั้ง ๑๗ ฉบับ
บริษัทร่วมเสรี จำกัด ผู้เสียหายโดยนายสมพงษ์ และนายหลิ่มแซ่อุ่ย กรรมการยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ศาลอนุญาต
จำเลยให้การปฏิเสธ และตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์ในข้อหาลักทรัพย์ หรือยักยอก เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๖๘, ๓๕๓ ซึ่งเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามาตรา ๒๖๘ (ลงโทษตามมาตรา ๒๖๕) จำคุก ๓ ปี ลงโทษตามมาตรา ๓๕๓ จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน รวมโทษจำคุม ๔ ปี ๖ เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้องให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๙๕๑,๘๐๐ บาทแก่โจทก์ร่วม และริบเช็คทั้ง ๑๗ ฉบับ
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกให้หนักขึ้น และลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมโดยเรียกระทงลงโทษการใช้เช็คแต่ละฉบับ กับให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ด้วย
จำเลยอุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์ข้อ ก. กับข้อ ข. เคลือบคลุมพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานยักยอก และใช้เอกสารปลอมขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานยักยอกเสียด้วย และให้ยกคำขอของโจทก์ที่ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๙๕๑,๘๐๐ บาท แก่เจ้าทรัพย์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมและโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้มีปัญหามาสู่ศาลฎีกา เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์ข้อ ก. กับข้อ ข. เคลือบคลุมหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ข้อ ก. บรรยายข้อเท็จจริงและการกระทำของจำเลย จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมมีหน้าที่เก็บรักษาเงินและเช็คที่มีผู้เอามาชำระหนี้ให้โจทก์ร่วม จำเลยได้รับเช็ค ๕ ฉบับ ที่ลูกหนี้ชำระหนี้ให้โจทก์ร่วม แล้วไม่นำส่งมอบให้สมุห์บัญชีตามหน้าที่กลับเบียดบังเอาเช็คทั้ง ๔ ฉบับ นั้นไปให้พวกของจำเลยนำเข้าบัญชีที่ธนาคารและใช้ชำระหนี้ให้ผู้อื่นอันเป็นความผิดฐานยักยอกแล้วโจทก์ยังได้บรรยายฟ้องกล่างอ้างอีกว่า ในการกระทำอันเดียวกันนั้น คือการที่จำเลยเอาเช็ค ๔ ฉบับดังกล่าวไปเป็นการลักทรัพย์ คำฟ้องของโจทก์จึงขัดแย้งกันอยู่ในตัวเอง เป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) จะรับไว้พิจารณาเอาโทษจำเลยมิได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๐/๒๔๙๔ ระหว่างอัยการพระนครศรีอยุธยา โจทก์ นายพร สูงสุด กับพวก จำเลย
สำหรับคำฟ้องข้อ ข. นั้น กล่าวว่าระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๑๙ เวลากลางวันและกลางคืนตลอดมาถึงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๑๙ เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยได้รับเช็คและเงินสดรวม ๙๕๑,๘๐๐ บาท ซึ่งลูกหนี้เอามาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ร่วมไว้ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้เบียดบังยักยอกเอาเงินสดจำนวน ๗๓๓,๕๓๓ บาท ไปในวันเดือนปีและเวลาใด จะตีความเอาว่าโจทก์หมายเอาในระหว่างวันเวลาที่จำเลยได้รับเช็คและเงินสดนั้นเป็นวันที่จำเลยกระทำผิดก็ไม่ได้ เพราะไม่มีข้อความตอนใดจะให้เข้าใจได้ ดังนั้นฟ้องของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๗/๒๔๙๒ ระหว่างอัยการสงขลา โจทก์ นางซิ้วเอียน ช่วยชาติ จำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน