แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์เป็นการขอให้ศาลอุทธรณ์แก้ไขเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยเพิ่มมูลหนี้ความรับผิดของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นอุทธรณ์ความรับผิดของจำเลยที่2อยู่ด้วยจึงหาทำให้คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่2ยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวแล้วหากคู่ความไม่ฎีกาคดีก็ย่อมเป็นที่สุดนับตั้งแต่ระยะเวลาฎีกาได้สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา147วรรคสองดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งพิพากษาแก้ให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามอุทธรณ์โจทก์เมื่อวันที่8พฤศจิกายน2525โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่16กันยายน2535ซึ่งยังไม่พ้นกำหนด10ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271 เมื่อโจทก์ร้องขอให้ออกหมายบังคับคดีไม่เกิน10ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาย่อมไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนหมายบังคับคดีส่วนค่าฤชาธรรมเนียมตามหมายบังคับคดีแม้จะเกินกว่าคำพิพากษาก็ย่อมออกคำสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำพิพากษาซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลสั่งแก้ไขหมายบังคับคดีมิใช่แก้ไขคำพิพากษาเมื่อค่าฤชาธรรมเนียมตามหมายบังคับคดีเกินกว่าที่จำเลยต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 512,831.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 433,806.64 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาส่วนจำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องขอให้ยกฟ้อง เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2524 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ 463,168.70 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 394,163.15 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์เพียง 50,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 50,000 บาท นับแต่วันที่4 สิงหาคม 2520 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 2 จะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าขึ้นศาลคิดเท่าที่จำเลยแต่ละคนแพ้คดี โดยกำหนดค่าทนายความให้ 2,000 บาท สำหรับจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในค่าทนายความเพียง 500 บาท แทนโจทก์ด้วยฟ้องนอกนั้นให้ยกโจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดในมูลหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน 49,662.97 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 39,643.49 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระให้เสร็จ อีกจำนวนหนึ่งด้วยให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 600 บาท ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2525 โจทก์ขอหมายบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2535 ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2535
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่21 ธันวาคม 2524 โจทก์และจำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาในส่วนที่ให้จำเลยที่ 2 รับผิดในจำนวนเงิน 50,000 บาท จึงถึงที่สุดนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา การที่โจทก์ขอออกหมายบังคับคดีลงวันที่ 16 กันยายน 2535 เกิน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา และศาลชั้นต้นก็ออกหมายบังคับคดีให้นั้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ทั้งค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความตามหมายบังคับคดีดังกล่าวก็เกินกว่าคำพิพากษาที่ให้จำเลยที่ 2 รับผิด ขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้นลงวันที่ 16 ตุลาคม 2535 ในส่วนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2ประการแรกมีว่า โจทก์ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาแก่จำเลยที่ 2 ภายใน 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษา หรือไม่ จำเลยที่ 2ฎีกาว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2524ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้จำนวน 436,168.70 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดเพียง 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าขึ้นศาลเท่าที่จำเลยแต่ละคนแพ้คดี สำหรับค่าทนายความกำหนดให้จำเลยที่ 2 รับผิดเพียง 500 บาท ฟ้องนอกนั้นให้ยกเสีย โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษาในส่วนนี้ คำพิพากษาในส่วนนี้จึงถึงที่สุดตั้งแต่วันครบกำหนดอุทธรณ์คือวันที่ 21 มกราคม 2525โจทก์ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา คือภายในวันที่ 21 ธันวาคม 2534 การที่โจทก์ร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2535และศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีลงวันที่ 16 ตุลาคม 2535ให้นั้น เป็นการออกหมายบังคับคดีที่พ้นกำหนด 10 ปี แล้ว ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 เห็นว่าปรากฏตามสำนวนว่าโจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 49,662.97 บาท พร้อมดอกเบี้ยอีกจำนวนหนึ่งด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ได้พิพากษาแก้ไปตามที่โจทก์อุทธรณ์ว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน 49,662.97 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอีกจำนวนหนึ่งด้วย แม้จำนวนเงินที่จำเลยที่ 2ต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จะมีจำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเช่นเดียวกับที่ศาลชั้นต้นพิพากษา แต่อุทธรณ์ของโจทก์ก็เป็นการขอให้ศาลอุทธรณ์แก้ไขเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยเพิ่มมูลหนี้ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ด้วย จึงหาทำให้คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังที่จำเลยฎีกาไม่ เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวแล้ว หากคู่ความไม่ฎีกา คดีก็ย่อมเป็นที่สุดนับตั้งแต่ระยะเวลาฎีกาได้สิ้นสุดลง ตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 147 วรรคสอง ปรากฏว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2525 โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2535 ซึ่งยังไม่พ้นกำหนด10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 แล้ว
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการต่อมามีว่า ศาลต้องเพิกถอนหมายบังคับคดีที่ออกเกินกว่าคำพิพากษาหรือไม่ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียมประมาณ4,000 บาท แต่ค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามหมายบังคับคดีมีจำนวนถึง 17,240 บาท เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 เห็นว่าปัญหาข้อนี้จำเลยที่ 2 กล่าวอ้างไว้ในอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียว ปรากฏว่าค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามหมายบังคับคดีเกินกว่าที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามคำพิพากษาจำนวนมาก แต่เมื่อคดีฟังว่าโจทก์ร้องขอให้ออกหมายบังคับคดีไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาตามที่วินิจฉัยมา ย่อมไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนหมายบังคับคดี ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมตามที่ปรากฏในหมายบังคับคดีแม้จะเกินกว่าคำพิพากษา ถ้าความปรากฏขึ้นมาต่อศาลชั้นต้นศาลชั้นต้นก็ย่อมออกคำสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำพิพากษาซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลสั่งแก้ไขหมายบังคับคดีมิใช่แก้ไขคำพิพากษา สมควรให้ศาลชั้นต้นแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามคำพิพากษา แล้วออกหมายบังคับคดีแก้ไขค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดเสียใหม่ให้ถูกต้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์