แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่ผู้ร้องจะขออนุญาตเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) นั้น ผู้ร้อง ต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้น หมายถึง จะต้องเป็นผู้ที่ถูกกระทบกระเทือนหรือถูกบังคับโดยคำพิพากษา นั้นโดยตรงหรือผลคดีตามกฎหมายจะมีผลไปถึงตนด้วย ซึ่งในคดีนี้ หากศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ คำพิพากษาก็หาได้ มีผลผูกพันไปถึงผู้ร้องแต่อย่างใด เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้อง ว่ากล่าวเอาแก่ผู้ร้องต่อไปอีกคดีหนึ่ง ผลแห่งคำพิพากษา หรือข้อเท็จจริงในคดีนี้ไม่ผูกพันบังคับแก่ผู้ร้อง ผู้ร้อง จึงไม่มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี ส่วนการที่ศาล จะออกหมายเรียกให้บุคคลภายนอกเข้ามาในคดีตามมาตรา 57(3)(ก) จะต้องโดยคำขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งผู้ร้องยังมิใช่ คู่ความในคดีหรือตามมาตรา 57(3)(ข) โดยคำสั่งของศาลนั้นเมื่อเห็นสมควร แต่กรณีตามคำร้องยังไม่มีเหตุสมควรเพียงพอ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยรวมจำนวนเงิน 459,554,424.75 บาท อ้างเหตุจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาในการว่าจ้างโจทก์ทำการก่อสร้างอาคารกองบัญชาการทหารสูงสุดและอาคารที่จอดรถยนต์ โดยบรรยายฟ้องในข้อ 6 กล่าวอ้างว่าพลอากาศเอกวรนาถ อภิจารี ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้นเป็นผู้ทำการแทนจำเลยได้มีคำสั่งให้โจทก์ระงับการก่อสร้างเป็นการกระทำที่ผิดสัญญาต่อโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้คดีคดีอยู่ระหว่างพิจารณา
ผู้ร้องยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 14 สิงหาคม 2539 เข้ามาในคดีอ้างเหตุเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี เพราะหากจำเลยแพ้คดีจำเลยก็จะฟ้องไล่เบี้ยเรียกค่าเสียหายเอาจากผู้ร้องได้ขอให้ศาลมีคำสั่งออกหมายเรียกผู้ร้องเข้าเป็นจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ตามคำร้องของผู้ร้องได้บรรยายให้เห็นว่าผู้ร้องมีเจตนาจะขอเข้ามาในคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) และ 57(3) อย่างชัดแจ้งนั้นเห็นว่า การที่ผู้ร้องจะขออนุญาตเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) นั้น ผู้ร้องต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้น หมายถึงว่าจะต้องเป็นผู้ที่ถูกกระทบกระเทือนหรือถูกบังคับโดยคำพิพากษานั้นโดยตรงหรือผลคดีตามกฎหมายจะมีผลไปถึงตนด้วย ซึ่งพิเคราะห์แล้วหากศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ คำพิพากษาก็หาได้มีผลผูกพันไปถึงผู้ร้องแต่อย่างใดไม่เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องว่ากล่าวเอาแก่ผู้ร้องต่อไปอีกคดีหนึ่ง ผลแห่งคำพิพากษาหรือข้อเท็จจริงในคดีนี้ไม่ผูกพันบังคับแก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี และเพียงแต่โจทก์และจำเลยไม่ได้คัดค้านอุทธรณ์ของผู้ร้องจะแปลว่าคู่ความรับว่าเป็นความจริงตามที่ร้องสอดหาได้ไม่ ส่วนการที่ศาลจะออกหมายเรียกให้บุคคลภายนอกเข้ามาในคดีตามมาตรา 57(3)(ก) จะต้องโดยคำขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งผู้ร้องยังมิใช่คู่ความในคดีหรือตามมาตรา 57(3)(ข) โดยคำสั่งของศาลเมื่อศาลนั้นเห็นสมควร แต่กรณีตามคำร้องยังไม่มีเหตุสมควรเพียงพอ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน