คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1406/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อระบุว่า ผู้เช่าซื้อคือจำเลยที่ 1 ต้องประกันภัยรถยนต์คันที่เช่าซื้อไปจากโจทก์ และเสียเบี้ยประกันภัย โดยโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ จำเลยที่ 1 จึงได้เอาประกันภัยรถพิพาทไว้กับบริษัทประกันภัย ต่อมาระหว่างชำระค่าเช่าซื้อไม่เสร็จ เช่นนี้ตามสัญญาเช่าซื้อมีว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อการสูญหายและเสียหายทุกชนิดอันเกิดขึ้นแก่รถยนต์ที่เช่าซื้อ เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อไปเกิดสูญหายขึ้น โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สัญญาใช้ราคารถยนต์ได้โดยตรงและที่ข้อสัญญาที่ให้ผู้เช่าซื้อต้องประกันภัยและเสียเบี้ยประกันภัยดังกล่าวข้างต้น ก็เป็นการที่ตกลงกันเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกคือโจทก์ ให้ได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากการสูญหายของรถยนต์ได้จากบริษัทประกันภัยอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งสิทธิของโจทก์จะเกิดมีขึ้นก็ต่อเมื่อได้แสดงเจตนาแก่บริษัทประกันภัยว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญา และบริษัทประกันภัยก็อาจยกข้อต่อสู้อันเกิดแต่สัญญาประกันภัยที่มีต่อจำเลยที่ 1 ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 376. การที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยแต่ได้เรียกร้องต่อจำเลยที่ 1 โดยตรงแม้จะเป็นเวลาภายหลังที่รถยนต์ได้หายไปแล้วเป็นเวลาถึง 3 ปี ก็หาใช่โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแต่อย่างใดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ มีจำเลยที่ 2 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าเช่าซื้อเกินกว่า 2 งวดติด ๆ กัน โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเรียกให้ส่งมอบรถยนต์คืน และชำระค่าเช่าซื้อที่ค้าง จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถยนต์หรือใช้ราคา 50,000 บาท และใช้ค่าเสียหายอีก 36,666 บาท

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ได้เช่าซื้อรถพิพาทจริง และโจทก์ได้มีประกันภัยกับบริษัทประกันภัย โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์รถยนต์พิพาทหายไป จำเลยที่ 1 ได้แจ้งโจทก์แล้ว สัญญาเช่าซื้อจึงระงับ ค่าเสียหายสูงเกินไป โจทก์เพิกเฉยปล่อยเวลาล่วงเลยนาน ไม่เรียกร้องจากบริษัทประกันภัย จนบริษัทประกันภัยเลิกกิจการไป จึงมาเรียกร้องจากจำเลยเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ชำระเงิน 3,492 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระราคารถยนต์ให้โจทก์ 36,666 บาท พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏข้อความตามหนังสือของโจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายและส่งมอบรถคืนหรือให้ใช้ราคาลงวันที่ 10มกราคม 2520 (เอกสารหมาย จ.5 จ.6) ว่า ฯลฯ จำเลยรับจะติดต่อบริษัทประกันภัยเพื่อชดใช้เงินให้ตามกรมธรรม์ประกันภัย แต่โจทก์ยังไม่ได้รับชดใช้จากจำเลยหรือบริษัทประกันภัยแต่อย่างใด และที่โจทก์ขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จากทรัพย์สินของบริษัทสหพันธ์ประกันภัย จำกัดที่ถูกฟ้องล้มละลาย 3 รายการตามเอกสารหมาย ล.2 คือหนี้ตามคำพิพากษาและหนี้ตามกรมธรรม์ประกันภัยอีก 2 รายการ ก็ปรากฏว่าหนี้ตามคำพิพากษา(เอกสารหมาย ล.5) ไม่ระบุให้แน่ชัดว่ามีหนี้ค่ารถยนต์คันหมายเลข กท.อ 9544ที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อจากโจทก์ไปรวมอยู่ด้วยหรือไม่ ส่วนกรมธรรม์ประกันภัย2 ฉบับ (เอกสารหมาย ล.3 ล.4 ) ก็ไม่ใช่เป็นกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อ จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องให้บริษัทสหพันธ์ประกันภัย จำกัดชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาประกันภัยที่จำเลยที่ 1 ได้ทำไว้กับบริษัทสหพันธ์ประกันภัย จำกัด โดยให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์หรือขอรับชำระหนี้ในคดีที่บริษัทสหพันธ์ประกันภัย จำกัด ล้มละลาย ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อฟังข้อเท็จจริงแล้วดังนี้ จึงมีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่า การที่โจทก์เลือกใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ใช้ราคารถยนต์ที่สูญหาย แต่ไม่เรียกร้องให้บริษัทสหพันธ์ประกันภัย จำกัดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญหายของรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อ และเอาประกันภัยไว้โดยให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ ภายหลังรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อได้สูญหายเป็นเวลา 3 ปีเศษแล้วเช่นนี้ เป็นการที่โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่าตามสัญญาเช่าซื้อ (เอกสารหมาย จ.3) ที่โจทก์และจำเลยที่ 1ทำไว้ต่อกัน ข้อ 3(ก) มีข้อตกลงว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อการสูญหายและเสียหายทุกชนิดอันเกิดขึ้นแก่รถยนต์ที่เช่าซื้อ ฯลฯ ตามสัญญาข้อนี้เมื่อรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อไปเกิดสูญหายขึ้น โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นคู่สัญญาใช้ราคารถยนต์ได้โดยตรงอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นเวลาเนิ่นนานเพียงใด แต่ภายในอายุความ ส่วนข้อตกลงตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 3(ฉ)ที่ให้จำเลยที่ 1 ต้องประกันภัยรถยนต์ที่เช่าซื้อ โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้เสียเบี้ยประกันภัย และมอบกรมธรรม์ประกันภัยกับใบเสร็จรับเงินเบี้ยประกันภัยให้แก่โจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทสหพันธ์ประกันภัย จำกัดระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ดังเช่นกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย ล.3ล.4 นั้น ก็เป็นการที่ตกลงกันเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกคือโจทก์ให้ได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากการสูญหายของรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อได้จากบริษัทสหพันธ์ประกันภัย จำกัด อีกทางหนึ่งด้วย อันมีผลบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 ซึ่งสิทธิของโจทก์จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้แสดงเจตนาแก่บริษัทสหพันธ์ประกันภัย จำกัด ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้ว แต่บริษัทสหพันธ์ประกันภัย จำกัด ก็อาจยกข้อต่อสู้อันเกิดแก่สัญญาประกันภัยที่มีอยู่ต่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สัญญาขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้รับประโยชน์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 376 การที่โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องให้บริษัทสหพันธ์ประกันภัย จำกัด ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการสูญหายของรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อโจทก์ไป จึงมีขั้นตอนและเสี่ยงต่อการที่จะไม่ได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนยิ่งกว่าที่โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อการสูญหายของรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อไปโดยตรงตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 3(ก) ทั้งไม่มีข้อตกลงให้โจทก์จำต้องใช้สิทธิเรียกร้องให้บริษัทรับประกันภัยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเสียก่อนอีกด้วย ดังนั้น การที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนต่อบริษัทสหพันธ์ประกันภัย จำกัด แต่ได้เรียกร้องต่อจำเลยที่ 1 โดยตรงแม้จะเป็นเวลาภายหลังจากที่รถยนต์ได้สูญหายไปแล้วเป็นเวลาถึง 3 ปีเศษจึงหาใช่โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแต่อย่างใดไม่ และเมื่อรถยนต์ที่จำเลยที่ 1เช่าซื้อโจทก์ได้สูญหายไปภายหลังที่จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ได้เพียง3 งวด จำเลยก็ต้องรับผิดชำระราคารถยนต์ที่ยังขาดอยู่ 36,666 บาทให้แก่โจทก์ดังที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยให้เหตุผลไว้แล้ว

พิพากษายืน

Share