คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1405/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตาม ป.อ. มาตรา 318 แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคแรก ซึ่งมีอัตราโทษที่ต่ำกว่า ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคแรก ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบวรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 276, 283 ทวิ, 318, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ วรรคแรก, 319 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 376 ฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจารและพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานพรากผู้เยาว์ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 3 ปี ฐานมีอาวุธปืนจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี ฐานยิงปืน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 10 วัน ฐานมีและพาอาวุธปืนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 10 วัน ริบอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และปลอกกระสุนปืนของกลาง กับคืนรถจักรยานยนต์ทั้งสองคันแก่เจ้าของ (ที่ถูก ต้องระบุด้วยว่า ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก)
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานพาผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร และฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ร่วมกันกระทำความผิดฐานพาเด็กหญิง ม. อายุ 15 ปีเศษ แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจารและฐานพรากเด็กหญิง ม. ไปเสียจากนาย ด. และนาง ป. บิดามารดาเพื่อการอนาจาร โดยเด็กหญิง ม. เต็มใจไปด้วย ปัญหาที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยมีตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 หรือไม่ ข้อนี้โจทก์นำสืบโดยมีเด็กหญิง ม. มาเบิกความเป็นพยานยืนยันข้อเท็จจริงเป็นทำนองว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย โดยจำเลยที่ 1 ได้กระทำชำเราพยานด้วย และหลังเกิดเหตุเมื่อพยานถูกนำตัวออกจากที่เกิดเหตุเพื่อนำตัวมาส่งบ้าน จำเลยที่ 1 กับพวกคือจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ขับรถจักรยานยนต์ผ่านเข้ามาในบริเวณตัวเมืองที่มีแสงไฟฟ้าสว่าง จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์ที่มีจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้าย บางครั้งก็ขับมาตีคู่กับรถที่จำเลยที่ 4 เป็นคนขับและให้พยานนั่งซ้อนท้ายพยานเห็นหน้าจำเลยที่ 1 ได้อย่างชัดเจน กับโจทก์มีจ่าสิบตำรวจมนศักดิ์ ผู้จับกุมมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงเป็นทำนองว่า พยานร่วมกับพวกจับกุมจำเลยทั้งสี่เป็นคดีนี้ โดยจับกุมจำเลยที่ 4 ได้ก่อนแล้วจำเลยที่ 4 ยอมรับว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดด้วย ชั้นจับกุมจำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพปรากฏตามบันทึกการจับกุมกับโจทก์มีพันตำรวจโทอนันต์ พนักงานสอบสวนมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงเป็นทำนองว่า ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การยอมรับว่าร่วมกับพวกกระทำความผิดด้วยปรากฏตามบันทึกคำให้การของจำเลยที่ 1 ดังนี้ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามปากดังกล่าวเบิกความถึงข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 อยู่ร่วมกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในที่เกิดเหตุด้วยนั้น ไม่มีพิรุธ เชื่อได้ว่าพยานจะเบิกความไปตามที่รู้เห็นจริง ๆ ส่วนที่จำเลยที่ 1 นำสืบต่อสู้ยืนยันข้อเท็จจริงทำนองว่า คืนเกิดเหตุก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มาขอยืมรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 ไปขับ จำเลยที่ 1 ก็ให้ยืมไปโดยไม่ได้ออกจากบ้านไปด้วย ช่วงเวลาที่ผู้เสียหายอ้างว่าเหตุเกิดนั้นจำเลยที่ 1 นอนอยู่ที่บ้านกับภริยาและบุตร รุ่งเช้าเจ้าพนักงานตำรวจมาควบคุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปที่สถานีตำรวจแล้วเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายบังคับให้จำเลยที่ 1 รับสารภาพว่าร่วมเป็นคนร้ายด้วย กับทั้งเมื่อนำจำเลยที่ 1 ออกไปแถลงข่าวกับสื่อมวลชน เจ้าพนักงานตำรวจก็บังคับจำเลยที่ 1 ว่าให้บอกนักข่าวว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดด้วย มิฉะนั้นจะทำร้ายจำเลยที่ 1 อีกนั้น เห็นว่า เป็นแต่เพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ ของจำเลยที่ 1 ไม่มีน้ำหนักที่จะหักล้างพยานโจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ด้วย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่า โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และไม่ได้มีคำขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตราดังกล่าวได้นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 ฐานพรากผู้เยาว์ไปโดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เป็นการพรากผู้เยาว์ไปโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก ซึ่งมีอัตราโทษที่ต่ำกว่าเช่นนี้ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก ได้ ฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน

Share