คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1404/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเคยยื่นคำร้องในคดีก่อนอ้างว่าที่พิพาทเป็นที่ดินในโฉนดของโจทก์ซึ่งจำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่าจำเลยมิได้ครอบครองรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโฉนดของโจทก์ ความจริงจำเลยเข้าไปอาศัยและทำนาโดยอาศัยสิทธิการเช่าของบุคคลอื่นที่เช่าที่ดินไปจากโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยมิได้ครอบครองรุกล้ำเข้าไปในเขตโฉนดของโจทก์ โดยต่างคนต่างครอบครองตามแนวเขตที่ดินของตนไม่ปรปักษ์กันดังนี้ คำพิพากษาคดีก่อนจะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์จึงต้องผูกพันในคำพิพากษานั้นว่า ที่พิพาทไม่ได้อยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 การที่โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีหลังและนำสืบว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายจึงรับฟังไม่ได้
แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้อง แต่เมื่อคำพิพากษาวินิจฉัยมีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิของจำเลย จำเลยย่อมอุทธรณ์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาท จำเลยขออาศัยปลูกกระท่อมและทำนาในที่ดินโจทก์ดังกล่าวทางด้านทิศเหนือ ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลอ้างว่าที่ดินเป็นของจำเลยโดยครอบครองมาเกิน 10 ปีแล้ว ตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 180/2510 ของศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้าน ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไป จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยรื้อกระท่อมออกไปและห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว กับให้ใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า จำเลยมีที่ดินอยู่ด้านทิศเหนือ และปลูกบ้านในที่ดินจำเลยซึ่งมีคันนาและต้นไม้เป็นแนวเขตโดยเปิดเผยเกินกว่า 10 ปีแล้ว คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่โจทก์อ้างนั้นได้วินิจฉัยว่า ที่ดินของโจทก์และจำเลยต่างมีแนวเขตไม่รุกล้ำกัน ดังนั้น ที่ดินที่โจทก์ฟ้องจึงไม่ได้อยู่ในเขตโฉนดของโจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ฟ้องโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและพิพากษาใหม่

ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้วฟังว่า จำเลยเข้ามาทำนาและปลูกกระท่อมในที่ดินของโจทก์ พิพากษาให้จำเลยรื้อกระท่อมออกจากที่ดินโจทก์ ห้ามเข้าเกี่ยวข้องและให้ใช้ค่าเสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยต่างโต้เถียงกรรมสิทธิ์กันในที่ดินพิพาทข้อเท็จจริงได้ความว่าที่ดินแปลงนี้โจทก์และจำเลยเคยเป็นความกันมาแล้วโดยจำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท อ้างว่าได้ครอบครองรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 1862 ของโจทก์ โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่าสิบปี โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่าจำเลยมิได้ครอบครองรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโฉนดเลขที่ 1862 ของโจทก์ ความจริงจำเลยเข้าไปอาศัยและทำนาโดยอาศัยสิทธิการเช่าของบุคคลอื่นที่เช่าที่ดินไปจากโจทก์ ศาลจังหวัดนครนายก พิพากษาคดีถึงที่สุดว่า จำเลย (โจทก์คดีก่อน) มิได้ครอบครองรุกล้ำเข้าไปในเขตโฉนดเลขที่ 1862 ของโจทก์ (จำเลยคดีก่อน) โดยต่างคนต่างครอบครองตามแนวเขตที่ดินของตนไม่ปรปักษ์กัน ซึ่งจะชอบหรือไม่ประการใดก็ตามแต่ เมื่อโจทก์ (จำเลยคดีก่อน) มิได้อุทธรณ์คำพิพากษา จึงต้องผูกพันในผลแห่งคำพิพากษานั้นว่า ที่ดินพิพาทไม่ได้อยู่ในเขตโฉนดที่ดิน 1862 ของโจทก์(จำเลยคดีก่อน) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 เพราะแม้ศาลจะพิพากษายกฟ้อง แต่คำวินิจฉัยมีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ (จำเลยคดีก่อน) โจทก์ (จำเลยคดีก่อน) ย่อมอุทธรณ์ได้ การที่โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยและนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายเป็นคดีนี้ จึงรับฟังไม่ได้

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share