คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1399/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีอาญาในระหว่างสอบสวนโจทก์ ได้ทำร้ายโจทก์ เพราะโจทก์ไม่ยอมรับสารภาพ ไม่ยอมลงชื่อตามที่จำเลยต้องการจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เป็นความผิดตามมาตรา 157,391
ถูกชกตีไม่ปรากฏบาดแผลเป็นอันตรายแก่กาย แล้วถูกพันธนาการพาตัวไปคุมขังไว้ใต้สถานีตำรวจแต่เดียวดาย ไกลหูไกลตาผู้ต้องหาด้วยกัน เช่นนี้ ไม่เป็นอันตรายแก่จิตใจตามมาตรา 295
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ต้องการเพียงว่าถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน ก็เพียงพอที่จะเป็นองค์ประกอบองค์หนึ่งของการที่จะพิพากษารอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษได้แล้ว หาต้องนำสืบไม่ แม้มิได้นำสืบศาลก็อาจคำนึงถึงอายุและอื่นๆ เท่าที่พึงมีปรากฏในสำนวนนั้นได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าสถานีตำรวจ จำเลยที่ 2 เป็นผู้บังคับหมวดจำเลยที่ 3 เป็นผู้บังคับหมู่ จำเลยที่ 4, 5 เป็นลูกหมู่ เป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจสืบสวนสอบสวนคดีอาญา และจัดการให้เป็นไปตามหมายอาญา ร่วมกันแกล้งจับกุมโจทก์มากักขังแล้วปฏิบัติหน้าที่ในการสอบสวนโดยมิชอบ ข่มขืนใจโจทก์โดยมีอาวุธและใช้กำลังกายชกตีโจทก์จนเกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ ใช้โซ่เหล็กพันธนาการเกินกว่าความจำเป็นในการควบคุมและทรมานโจทก์จนบาดเจ็บเพื่อให้โจทก์ยอมรับว่าได้สมคบกับผู้มีชื่อฆ่าโคโดยมิได้รับอนุญาตซึ่งไม่เป็นความจริงเพื่อให้โจทก์ต้องรับโทษทางอาญาและเสียหายแก่นายโพธิ์ ขอให้ลงโทษตามมาตรา 157, 200, 295, 391, 309, 83, 90, 91

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 ให้ประทับฟ้อง นอกนั้นไม่มีมูล

จำเลยที่ 1, 2, 6 ให้การปฏิเสธ

โจทก์ขอถอนฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ศาลอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ผิดฐานใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 ฐานทำร้ายร่างกายไม่ถึงบาดเจ็บ มาตรา 391รอการลงโทษ 2 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 6

โจทก์จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย

โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีอาญาปฏิบัติหน้าที่ในการสอบสวนโดยมิชอบ ข่มขืนใจโจทก์โดยใช้กำลังชกตีโจทก์ ต้องผิดตามมาตรา 157, 391

ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีอาญาตามฟ้อง ในระหว่างการสอบสวนในห้องสอบสวนใต้ถุนสถานีตำรวจจำเลยที่ 1 ได้ทำร้ายโจทก์เพราะโจทก์ไม่ยอมรับสารภาพ ไม่ยอมลงชื่อตามที่จำเลยที่ 1 ต้องการ เป็นการที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 157, 391 จึงเป็นการชอบแล้ว

ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 สั่งจับโจทก์เพื่อดำเนินคดีอาญาเป็นการแกล้งโจทก์ให้ต้องรับโทษทางอาญา เป็นผิดมาตรา 200 นั้น

เห็นว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดข้อนี้โดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในความผิดข้อนี้

ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ใช้กำลังชกตีโจทก์ แม้จะไม่ปรากฏบาดแผลเป็นอันตรายแก่กายอย่างแรง แต่เมื่อโจทก์ถูกทำร้ายแล้วยังถูกพันธนาพาตัวไปคุมขังไว้ใต้ถุนสถานีแต่เดียวดายไกลหูไกลตาผู้ต้องหาด้วยกัน ย่อมเกิดอันตรายแก่จิตใจอย่างแรงและเห็นได้ชัดเป็นผิดตามมาตรา 295 นั้น

เห็นว่า แม้เป็นจริงดังโจทก์อ้าง ก็ไม่เป็นอัตรายแก่จิตใจตามมาตรา 295

ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมิได้นำสืบถึงเหตุอันควรปรานีตามมาตรา 56 ศาลจะไปรู้ว่าจำเลยเป็นผู้มีความประพฤติดีมาก่อนหรือไม่เคยกระทำผิดมาก่อนเป็นการพิจารณาพิพากษาคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงนอกสำนวน ไม่ชอบด้วยการพิจารณา

เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ต้องการเพียงว่า ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน ก็เพียงพอที่จะเป็นองค์ประกอบองค์หนึ่งของการที่จะพิพากษาให้รอการกำหนดโทษหรือให้รอการลงโทษได้แล้ว หาต้องนำสืบไม่แม้มิได้มีการนำสืบไว้เป็นพิเศษในสำนวนศาลก็อาจคำนึงถึงอายุและอื่น ๆ เท่าที่พึงมีปรากฏอยู่ในสำนวนนั้นได้

พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 391 กำหนดโทษจำคุกตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนัก สองปี รอการลงโทษมีกำหนดสามปี นอกนั้นยืน

Share