แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บริษัทในต่างประเทศทำหนังสือมอบอำนาจระบุชื่อผู้รับมอบอำนาจ ตำบลบ้าน และมีข้อความต่อไปว่า กรรมการบริษัทโจทก์ รวมทั้งระบุที่ตั้งสำนักงานของโจทก์ด้วย เพียงเท่านี้ยังไม่ชัดแจ้งว่าตั้งบุคคลนั้นเป็นส่วนตัวหรือในฐานะกรรมการบริษัทโจทก์ อันจะผูกพันโจทก์ในฐานะที่ผู้รับมอบอำนาจนั้นเป็นกรรมการผู้แทนนิติบุคคล จึงจำต้องพิจารณาพฤติการณ์อื่น ๆ ประกอบด้วย
การที่บริษัทโจทก์เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าของบริษัทในต่างประเทศแต่ผู้เดียวในประเทศไทย เมื่อมีเหตุที่จะต้องตั้งผู้รับมอบอำนาจในประเทศไทย บริษัทต่างประเทศซึ่งเป็นผู้ขายคงไม่ตั้งผู้อื่น ถ้าสามารถตั้งบริษัทโจทก์ได้นั้น ย่อมเป็นพยานพฤติเหตุประการหนึ่ง เหตุนี้ แม้หนังสือแต่งตั้งจะระบุชื่อบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นกรรมการบริษัทโจทก์ ตลอดจนระบุที่ตั้งสำนักงานบริษัทโจทก์ด้วย ย่อมแสดงให้เห็นว่าบริษัทต่างประเทศมิได้ตั้งกรรมการบริษัทโจทก์เป็นส่วนตัว แต่ตั้งในฐานะกรรมการบริษัทโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทำการค้าแทนบริษัทโจทก์จึงเป็นตัวแทนซึ่งต้องรับผิดเสียภาษีในส่วนเงินได้ และภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ และมาตรา 78 ด้วย
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้เป็นนายหน้าชี้ช่องให้กรมโยธาเทศบาลผู้ซื้อและบริษัทเอดิสัน สวอน อีเล็คตริค จำกัด กับบริษัทเอสโซซิเอเต็ด ออยส์ เอนจีนส์ (เอ๊กซ์ปอร์ต) จำกัด ในประเทศอังกฤษ ติดต่อจนได้มีการตกลงซื้อขายเครื่องกำเหนิดไฟฟ้า และอุปกรณ์ต่าง ๆ โจทก์ได้เสียภาษีค่านายหน้าแล้ว จำเลยประเมินภาษีการค้าและภาษีเงินได้โดยอ้างว่าโจทก์เป็นผู้แทนบริษัทต่างประเทศ โจทก์ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว จำเลยคงให้โจทก์เสียภาษีรวมทั้งสิ้น ๓,๔๘๐,๗๒๒ บาท ๓๙ สตางค์ ขอให้ศาลพิพากษาว่า การประเมินภาษีดังกล่าวไม่ชอบและขอให้เพิกถอนเสีย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า บริษัทโจทก์มิได้ประกอบการค้าแทนบริษัทต่างประเทศ จึงไม่ต้องรับผิดในค่าภาษีพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดเสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้ ๓,๔๘๐,๗๒๒.๓๙ บาท ตามที่เจ้าพนักงานประเมิน ให้ยกเลิกการประเมินนั้นเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เอกสารและพฤติการณ์ฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทำการแทนหรือได้ติดต่อกับบริษัทต่างประเทศโดยโจทก์เป็นตัวแทน พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือมอบอำนาจหลายฉบับมีข้อความระบุชื่อผู้รับมอบอำนาจว่านายเกษม นายบิตตี้ ระบุตำบลล้าน และมีข้อความต่อไปว่า กรรมการบริษัทโจทก์ ระบุที่ตั้งสำนักงานของโจทก์ เพียงเท่านี้อาจยังไม่ชัดแจ้งเด็ดขาดว่า ตั้งบุคคลทั้งสองเป็นส่วนตัวหรือในฐานะกรรมการบริษัท ซึ่งจะผูกพันโจทก์ในฐานะที่คนทั้งสองเป็นกรรมการผู้แทนนิติบุคคล จึงต้องพิจารณาพฤติการณ์อื่นประกอบต่อไป ปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าของบริษัททั้งสองในประเทศไทยแต่ผู้เดียวอยู่แล้ว ถึงแม้ความข้อนี้จะไม่แสดงโดยเด็ดขาดว่าโจทก์เป็นผู้แทนของบริษัทผู้ขายในสัญญารายนี้ด้วยก็ตาม แต่ก็เป็นพฤติเหตุประการหนึ่งที่แสดงว่า เมื่อมีเหตุที่จะต้องตั้งผู้รับมอบอำนาจในประเทศไทย ซึ่งโจทก์ว่าเป็นความจำเป็นต้องทำตามระเบียบการ บริษัทผู้ขายคงไม่ตั้งผู้อื่น ถ้าสามารถตั้งผู้แทนจำหน่ายแต่ผู้เดียวของเขาที่มีอยู่แล้วได้ เหตุนี้ แม้หนังสือแต่งตั้งจะระบุชื่อตั้งตัวบุคคลธรรมดาคือนายเกษมและนายบิตตี้ คนทั้งสองนี้ก็มิใช่ใครอื่น แต่เป็นกรรมการบริษัทโจทก์นั่นเอง การที่ได้ระบุต่อไปว่า กรรมการบริษัทโจทก์ตลอดจนระบุที่ตั้งสำนักงานของบริษัทโจทก์ลงไปด้วย ย่อมแสดงให้เห็นว่าบริษัทผู้แต่งตั้งมิได้นึกถึงนายเกษมและนายบิตตี้เป็นส่วนตัว แต่ได้บ่งถึงคนทั้งสองในฐานะกรรมการบริษัทโจทก์ ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่ายแต่ผู้เดียวของเขา มิฉะนั้น ก็ไม่จำเป็นหรือมีเหตุชักจูงอย่างไร ที่จะต้องลงไปอีกว่ากรรมการบริษัทโจทก์ รวมทั้งที่ตั้งสำนักงานของบริษัทโจทก์ด้วย การติดต่ออื่นๆ จึงได้กระทำโดยผ่านทางบริษัทโจทก์ตลอดมา ส่วนการที่นายเกษมกับนายบิตตี้ลงชื่อในสัญญาซื้อขายโดยระบุว่าเป็นตัวแทนบริษัทผู้ขาย ไม่ระบุว่าในฐานะกรรมการบริษัทโจทก์นั้น ข้อนี้ไม่สำคัญในเมื่อมีหนังสือแต่งตั้งจากบริษัทผู้ขายแสดงตามที่ผู้ซื้อต้องการ และได้ทำสัญญาแทนผู้ขายตามหน้าที่แล้ว จะประทับตราบริษัทโจทก์ด้วยหรือไม่ ก็ไม่สำคัญ เพราะมิใช่สัญญาที่บริษัทโจทก์เป็นคู่สัญญาเอง แต่เป็นสัญญาระหว่างผู้ซื้อผู้ขายซึ่งมิใช่โจทก์ โจทก์เป็นแต่ตัวแทนซึ่งตัวแทนต้องรับผิดในคดีนี้ก็เพราะมีประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๖ ทวิ บัญญัติให้ถือว่าโจทก์ผู้ทำการแทนโดยทางนายเกษมและนายบิตตี้ กรรมการของโจทก์เป็นตัวแทนในส่วนเงินได้ของบริษัทต่างประเทศและให้ถือเป็นผู้ประกอบการค้าตามความหมายของประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๘ ด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์