คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1398/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2494 โจทก์เคยฟ้องขับไล่จำเลยโดยอ้างว่าจำเลยเป็นผู้อาศัยนายเป่งส่ำนายเป่งส่ำได้ออกจากห้องพิพาทไปแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิอยู่ต่อไป คดีนั้นจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยเองเป็นผู้เช่าจากโจทก์และได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยเป็นผู้เช่าและได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ พิพากษายกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาฎีกาที่1356/2496ซึ่งอ่านให้โจทก์จำเลยฟังเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2497
ดังนี้จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าตั้งแต่เดิมคือตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2494(วันที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยอาศัย)ตลอดมา จะอ้างว่าระหว่างพิจารณาคดีเรื่องก่อน (ตั้งแต่ ก.พ. 94 ถึงวันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา 24 เม.ย. 97) จำเลยไม่ต้องชำระเพราะคดีนั้นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยอาศัย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่านั้นไม่ได้
จำเลยกลับนำค่าเช่าสำหรับเดือนมกราคม กับเดือนกุมภาพันธ์2497 รวม 2 เดือนไปชำระโจทก์โดยถือว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกย้อนหลังขึ้นไปจากนี้ เมื่อโจทก์ไม่ยอมรับจึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ และพฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าแล้ว ทั้งต่อมาเดือนเมษายนโจทก์ส่งคนไปเก็บค่าเช่าที่ค้างทั้งหมดรวม 39 เดือนจำเลยก็ไม่ชำระโจทก์เตือนอีกจำเลยก็ไม่ชำระ ดังนี้เรียกว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่ามากกว่า 2 คราวติดๆ กันตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ มาตรา 16(1) แล้ว โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้

ย่อยาว

คดีนี้คู่ความรับในข้อเท็จจริงกันว่าเรือนพิพาทเลขที่ 28 ตำบลบ่อยาง จังหวัดสงขลา เป็นของโจทก์ จำเลยเช่าอาศัยอยู่มาตั้งแต่ พ.ศ. 2489 ครั้นพ.ศ. 2494 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยอ้างว่านายเปงส่ำเป็นคนเช่าอยู่ จำเลยเป็นบริวารอาศัยอยู่กับนายเปงส่ำนายเปงส่ำได้เลิกเช่าและออกไปแล้วแต่จำเลยไม่ยอมออก แต่ขออาศัยต่อไปอีก 1 เดือนโจทก์ยอม พ้นกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้ศาลบังคับ คดีเรื่องนั้นจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยเป็นผู้เช่าและได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยเป็นผู้เช่าและได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ พิพากษายกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1356/2496 ซึ่งได้อ่านให้โจทก์จำเลยฟังเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2497 ต่อมาเดือนมีนาคม 2497 โจทก์ได้มีหนังสือเตือนให้จำเลยนำค่าเช่าที่ค้างตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2494 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2497 รวม 37 เดือนมาชำระแก่โจทก์ จำเลยยอมชำระให้เฉพาะ 2 เดือน คือสำหรับเดือนมกราคม 2497 และกุมภาพันธ์ 2497 เท่านั้น โจทก์ไม่ยอมรับโจทก์จึงบอกเลิกการเช่า จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงฟ้องหาว่าจำเลยไม่ชำระค่าเช่าเกินกว่า 2 เดือน และโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าแล้วขอให้ขับไล่

จำเลยต่อสู้ว่าตลอดเวลาที่เป็นความกันอยู่ในคดีเรื่องก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้อาศัยเท่านั้น จึงไม่มีสิทธิที่จะรื้อฟื้นกลับมาเรียกค่าเช่าย้อนหลังสำหรับเดือนที่แล้ว ๆ มานั้นได้จำเลยถือว่าการเช่าเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาพิพากษาคดีและโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเช่าได้ตั้งแต่วันนั้นตลอดมา ซึ่งจำเลยได้ส่งชำระแก่โจทก์แล้ว โจทก์ไม่ยอมรับเอง จำเลยจึงไม่ผิดนัด

ชั้นพิจารณาคู่ความแถลงข้อเท็จจริงรับกันดังกล่าวข้างต้นและทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน

ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า 2 คราวติด ๆ กันพิพากษาให้ขับไล่จำเลย และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาคัดค้านในข้อกฎหมายว่า

(1) ระหว่างพิจารณาในคดีเรื่องก่อน โจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นผู้อาศัย จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าเช่าย้อนหลังไปถึงระยะเวลาเหล่านั้น

(2) จำเลยได้ส่งค่าเช่าให้แล้ว โจทก์ไม่ยอมรับเอง จะถือว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า 2 คราวติด ๆ กันไม่ได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยตามลำดับดังนี้

ฎีกาข้อ 1 แม้ในคดีเรื่องก่อนโจทก์จะได้อ้างฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้อาศัยก็ตาม แต่ศาลฎีกามิได้ชี้ขาดว่าจำเลยเป็นผู้อาศัยวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นผู้เช่าเพื่ออยู่อาศัยในนามของจำเลยเองได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ พิพากษายกฟ้องโจทก์ ก็เมื่อจำเลยถือตนเป็นผู้เช่าตลอดมาจนได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายในฐานะที่เป็นผู้เช่าจำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2494 ตลอดมาดังที่โจทก์กล่าวมาในฟ้อง

ฎีกาข้อ 2. จำเลยเป็นผู้เช่ามีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าแก่โจทก์ดังได้วินิจฉัยมาแล้ว และคดีเรื่องนี้จำเลยคงยืนยันข้อเดียวว่าค่าเช่าในระหว่างพิจารณาคดีเรื่องก่อน จำเลยไม่จำเป็นต้องเสียเท่านั้น จำเลยจึงไม่ยอมชำระค่าเช่าสำหรับเดือนที่ล่วงแล้วมาศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยได้ค้างค่าเช่ามาแล้ว 30 เดือนเศษ โจทก์มีหน้าที่ทวงค่าเช่าเหล่านี้ได้ และเมื่อเดือนมีนาคม 2497 (ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2497) จำเลยไม่ยอมชำระกลับยืนยันให้เพียง 120 บาทอันเป็นค่าเช่าสำหรับเดือนมกราคม 2497 กับเดือนกุมภาพันธ์ 2497 เท่านั้น โจทก์ไม่ยอมรับไว้ซึ่งไม่ใช่ความผิดของโจทก์ พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยได้ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าแล้ว ต่อมาเดือนเมษายน 2497 โจทก์ยังส่งคนไปเก็บค่าเช่ารวมทั้งหมด 30 เดือน จำเลยก็ไม่ยอมชำระ เตือนอีก 2-3 ครั้ง จำเลยก็ไม่ยอมจึงเป็นการผิดนัดไม่ชำระค่าเช่ามากกว่า 2 คราวติด ๆ กันตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯมาตรา 16(1) ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share