แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การปรับบทว่าคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่นั้นชอบที่จะต้องพิจารณาในฐานความผิดเป็นกระทงไป ศาลชั้นต้นลงโทษเรียงกระทงความผิดมาศาลอุทธรณ์แก้ในกระทงความผิดกระทงหนึ่ง แม้จะเป็นแก้มาก เมื่อศาลอุทธรณ์ยังลงโทษจำคุกในกระทงความผิดที่แก้ไม่เกิน 1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
เกิดโต้เถียงกันก่อนแล้วผู้เสียหายใช้จอบตีถูกจำเลยเซไปผู้เสียหายใช้จอบฟันซ้ำอีก 1 ที จำเลยล้ม พอลุกขึ้นนั่งได้ พวกผู้เสียหายต่างถือขวานและมีดจะมาช่วยผู้เสียหาย จำเลยจึงใช้ปืนพกลูกซองสั้นยิงผู้เสียหายไป 1 นัดแล้ววิ่งหนีไปแจ้งความดังนี้เป็นการที่จำเลยยิงผู้เสียหายในเวลากระทันหันที่เหตุการณ์กำลังพัวพันกันอยู่และภยันตรายซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะหน้ายังไม่หมดไปการกระทำของจำเลยจึงเป็นป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ
ทางพิจารณาการกระทำของจำเลยเป็นป้องกันพอสมควรแก่เหตุแม้จำเลยจะไม่ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2511 เวลากลางวัน จำเลยบังอาจมีอาวุธปืนพกสั้นทำเอง 1 กระบอก กระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12หนึ่งนัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยใช้ปืนที่มีไว้นั้นยิงนายคูณ สีอาจ โดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกนายคูณบาดเจ็บสาหัส ไม่ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลดงครั่งใหญ่ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 295, 80 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 มาตรา 3 และสั่งริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพฐานมีอาวุธและเครื่องกระสุนปืน ต่อสู้ข้อหาพยายามฆ่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยผิดฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 1 ปี 6 เดือน มีเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา 78 ลดให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี และผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 มาตรา 3จำคุก 6 เดือน และปรับ 1,000 บาท ลดเพราะมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 เดือน และปรับ500 บาท รวมเป็นโทษจำคุก 1 ปี 3 เดือน และ ปรับ 500 บาท ของกลางริบข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินกว่าเหตุในมูลความผิดฐานพยายามฆ่า พิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 81 ประกอบด้วยมาตรา 69จำคุก 1 ปี ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยควรมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 และการกระทำของจำเลยไม่ใช่ป้องกัน
ศาลฎีกาวินิจฉัยเห็นว่า การปรับบทว่าคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น ชอบที่จะต้องพิจารณาในฐานความผิดเป็นกระทงกระทงไป ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในกระทงความผิดในข้อหาฐานพยายามฆ่าตามฟ้องโจทก์ แม้จะเป็นการแก้ไขมาก แต่ศาลอุทธรณ์ก็ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า นายจันทร์ จำเลยเป็นพี่เขยของนายคูณผู้เสียหาย วันเกิดเหตุจำเลยนำต้นเยา (ต้นสลอด) ไปปลูกเป็นรั้วลงในที่ดินซึ่งเป็นมรดกของบิดามารดา แต่ยังไม่ได้แบ่งปันกันผู้เสียหายห้ามไม่ให้ปลูก จำเลยไม่เชื่อฟังเลยเกิดโต้เถียงกัน ผู้เสียหายใช้จอบตีจำเลยก่อน 1 ที ถูกที่เหนือข้อศอกขวา จำเลยเซไป ผู้เสียหายใช้จอบฟันจำเลยซ้ำอีก 1 ที ถูกที่เหนือเข่าขวาโลหิตไหล จำเลยล้มลงแล้วลุกขึ้นนั่งได้ มีนางเติง นางสายต่างถือขวาน ถือมีดวิ่งมาจะช่วยผู้เสียหาย จำเลยจึงใช้ปืนพกลูกซองสั้นของกลางยิงผู้เสียหายไป 1 นัด จำเลยลุกขึ้นได้ก็วิ่งหนีไปแจ้งความต่อผู้ใหญ่บ้าน ส่วนผู้เสียหายถูกกระสุนปืนที่หน้าผากมีบาดแผลเป็นจุดดำ ๆ ที่หางตาขวาข้างตาซ้ายที่หน้าผาก กลางศีรษะ และหัวไหล่รวม 11 แผล ลูกกระสุนฝังใน 2 ลูก รักษาประมาณ 15 วันหาย
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในขณะที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายไปนั้น เป็นไปในเวลากระทันหันที่เหตุเกิดขึ้นกำลังพัวพันกันอยู่ ผู้เสียหายก็ยังยืนถือจอบอยู่ใกล้ ๆ เป็นที่เห็นได้ว่าภัยอันตรายซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะหน้ายังไม่หมดไป การกระทำของจำเลย จึงเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุจำเลยไม่มีความผิดแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ เมื่อวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุแล้ว ปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 หรือ 81 นั้น ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไป ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาว่า จำเลยกระทำผิดฐานพยายามฆ่านั้นเสีย นอกจากที่แก้นี้แล้วให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์