คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1367/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากทำหนังสือสัญญาขายฝากและจดทะเบียนไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว 6 เดือนเต็ม โจทก์ทำเอกสารขึ้นอีกฉบับหนึ่งว่า โจทก์จะไม่เอาที่ดินหลุดเป็นสิทธิโดยอนุญาตให้ ส. ผู้ขายฝากทำการก่อสร้างในที่ดินที่ขายฝากได้ ส่วนดอกเบี้ยต้องมาตกลงกันอีกในภายหลังพฤติการณ์เช่นนี้ถือว่าคู่กรณีมีเจตนาจะทำสัญญากู้ยืมกันมาแต่แรกหาได้ไม่ สัญญาขายฝากจึงมิใช่นิติกรรมอำพราง
จำเลยไม่ใช่ผู้ขายฝากเป็นเพียงภรรยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของ ส. ผู้ขายฝากเท่านั้น ตามกฎหมายจำเลยจะใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากไม่ได้

ย่อยาว

สำนวนแรก นางกิมนึ้งฟ้องนายสายและนางประยูรว่าจำเลยขายฝากที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างไว้กับโจทก์ กำหนดไถ่ถอนคืนใน 1 ปีบัดนี้พ้นกำหนดแล้ว แต่โจทก์ยอมให้จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินที่ขายฝากและโจทก์ให้คำมั่นต่อจำเลยว่าโจทก์จะไม่เอาขาด ให้จำเลยซื้อคืนได้แต่ต้องคิดค่าป่วยการให้โจทก์ตามแต่จะตกลงกัน จำเลยก็ให้คำมั่นว่าจะชำระหนี้เงินกู้แล้วจึงจะซื้อคืนแต่ไม่ได้กำหนดเวลากันไว้ โจทก์จึงให้ทนายความมีหนังสือกำหนดเงื่อนเวลาให้จำเลยชำระหนี้และซื้อที่ดินที่ขายฝาก มิฉะนั้นคำมั่นเป็นอันเลิกกัน ให้จำเลยและบริวารออกไป จำเลยไม่ชำระหนี้และซื้อที่ดินภายในกำหนด ขอให้บังคับจำเลยกับบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ขายฝากและใช้ค่าเสียหาย

หลังจากโจทก์ยื่นฟ้องแล้วประมาณ 7 วัน จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมโจทก์ถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 2 ให้การและขอเพิ่มเติมว่าสัญญาขายฝากที่จำเลยที่ 1ทำไว้ คู่กรณีมิได้มีเจตนาใช้บังคับแต่เพื่อพรางบุคคลภายนอก หลังจากทำสัญญาขายฝากแล้วจำเลยกับโจทก์ตกลงแปลงหนี้กันใหม่ เปลี่ยนจากการขายฝากเป็นการกู้เงิน โจทก์ยอมสละสิทธิในที่ดินคืนให้จำเลยจำเลยชำระหนี้แล้วคงเหลือเงิน 80,050 บาท จึงนำเงินจำนวนนี้ไปขอชำระหนี้และให้โจทก์จัดการโอนที่ดินที่ขายฝากคืน โจทก์ไม่ยอมโอน

สำนวนที่ 2 นางประยูรกลับเป็นโจทก์ฟ้องนางกิมนึ้งเป็นจำเลยว่าโจทก์กับนายสายกู้เงินจำเลยแล้วนายสายขายฝากที่ดินโฉนดที่ 487ให้จำเลย จำเลยตกลงจะไม่เอาที่ดินหลุด จำเลยผ่อนชำระหนี้แล้วเหลือ 80,050 บาท จึงได้นำเงินจำนวนนี้ไปชำระให้จำเลย และขอให้โอนที่ดินที่รับซื้อฝากไว้คืน

นางกิมนึ้งยื่นคำให้การใจความทำนองเดียวกับฟ้องโจทก์ในสำนวนแรกและยังให้การอีกว่าจำเลยขอแบ่งแยกโฉนดที่ 487 ออกเป็นแปลงเล็ก ๆ 30 โฉนด เพื่อให้โอกาสโจทก์ขายหรือให้เช่าและผ่อนชำระหนี้แก่จำเลย ต่อมาโจทก์ใช้อุบายหลอกลวงจำเลยให้ลงชื่อในใบมอบอำนาจรวม 7 โฉนด โดยว่าเมื่อโจทก์ขายได้แล้วจะเอาเงินมาให้จำเลยคงเหลืออยู่ 23 โฉนด ต่อมาโจทก์คิดบัญชีกับจำเลย ซึ่งโจทก์กู้ไปรายย่อยอีก 80,050 บาท โจทก์ก็ทำสัญญากู้ให้จำเลย

ระหว่างพิจารณา นางกิมนึ้งถึงแก่ความตาย นางสาวประกอบขอรับมรดกความ ศาลอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ขายฝากให้โจทก์ไว้ ให้ยกฟ้องของจำเลย

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ2,500 บาท ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2509 จนกว่าจะออกไปจากที่พิพาท

จำเลยฎีกาทั้งในฐานะเป็นโจทก์และจำเลย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การขายฝากที่ดินรายนี้ทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว แต่เอกสารหมาย ล.1(ข้อความว่านางกิมนึ้งอนุญาตให้นายสายก่อสร้างในโฉนดที่ 487 ถึงกำหนดขายฝากแล้วไม่เอาขาดแต่ให้มาคิดดอกเบี้ยกันมากหรือน้อยแล้วแต่จะตกลงกัน ฯลฯ) หลังจากจดทะเบียนการขายฝากถึง 6 เดือนเศษจะถือว่านิติกรรมขายฝากเป็นนิติกรรมอำพรางหาได้ไม่จำเลยไม่ใช่ผู้ขายฝาก และเป็นเพียงภรรยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายสายผู้ขายฝากเท่านั้น จะใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินนี้ไม่ได้

จำเลยมิได้ซื้อที่ดินที่ขายฝากคืนในเวลาตามกำหนดที่โจทก์ให้ทนายมีหนังสือถึงจำเลย และมิได้ออกไปจากที่ดินดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์

พิพากษายืน

Share