แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปลอมหนังสือสัญญากู้ขึ้นแล้วฟ้องเรียกเงินตามสัญญานั้น ศาลจึงพิพากษาให้ผู้กู้ในสัญญาปลอมนั้นใช้เงินผู้กู้ต้องถูกยึกทรัพย์ใช้เงินตามสัญญาดังนี้ ผุ้กู้จึงฟ้องเป็นคดีอาญาขอให้ลงโทษฐานปลอมหนังสือ จนศาลได้พิพากษาให้ลงโทษคดีถึงที่สุดไปแล้ว ดังนี้ผู้กู้กลับมาฟ้องเรียกค่าเสียหายเพราะเหตุที่ถูกยึดทรัพย์ใช้เงินตามสัญญากู้ปลอมนั้นได้
ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.145 อย่างไรไม่เรียกว่าเป็นคดีเสร็จเด็ดขาด
ย่อยาว
ได้ความว่าเดิมจำเลยในคดีนี้ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีแพ่งเรื่องหนึ่งเรียกเงินตามสัญญากุ้ ๑๗๓๒ บาท ปรากฎว่าเดิมสัยญากู้ที่จำเลยฟ้องนี้ไม่มีพะยานรับรองลายมือผู้กู้ จำเลยจึงขอให้ผู้อื่นลงนามเป็น
พะยานรับรองลายมือผู้กู้แล้วมาเบิกความเท็จต่อศาลประกอบเอกสารนั้นอีก ศาลเชื่อตามนั้น จึงพิพากษาให้โจทก์ใช้เงินตามสัญญากู้ คดึถึงที่สุดโจทก์ถูกยึดทรัพย์เอาออกขายทอดตลาดใช้หนี้แก่จำเลย โจทก์จึงฟ้องจำเลยำกับพวกเป็นคดอาญาหาว่าปลอมหนังสือแลเบิกความเท็จ โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยในคดีนี้ว่าเนื่องจากจำเลยเบิกความเท็จกระทำให้ศาลหลงเชื่อ ถึงได้พิพากษาให้โจทก์แพ้ความ โจทก์ถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายจึงขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๑๓๐๐ บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้เงินตามฟ้อง
จำเลยฎีกาว่า ศาลได้พิพากษาคดีนั้นเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว แลจำเลยยึดทรัพย์โจทก์ขายทอดตลาดก็เพราะผลแห่งคำพิพากษาโจทก์กลับมาฟ้องจำเลยเท่ากับเพิกถอนคำพิพากษาอันเสร็จเด็ดขาดนั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นเพราะการกระทำของจำเลยผิดกฎหมาย จึงเป็นเหตุให้โจทก์ต้องคำพิพากษาและถูกยึดทรัพย์ ได้รับความเสียหาย ต้องนับว่าจำเลยกระทำการอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดของจำเลยตามประมวลแพ่ง ม.๔๒๐ แลเห็นว่าตามฎีกาของจำเลย คดีนี้เป็นคนละเรื่องกัลการบังคับตามคำพิพากษาเดิมนั้น โจทก์ได้ชำระหนี้ให้จำเลยไปตามคำพิพากษาของศาลทุกอย่างแล้ว คำพิพากษานั้นก็เกิดผลไปแล้ว แม้จะฟ้องคดีอีกก็ไม่เรียกว่าแก้ไขคำพิพากษานั้นเลย คดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะจำเลยกระทำผิดกฎหมาย โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ ไม่เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาเดิมอย่างไร จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์