คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4986/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บริษัทโจทก์์ประกอบธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ จึงเป็นสถาบันการเงินตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ.2523 มาตรา 3 มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราสูงสุดเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีได้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา 4 สัญญากู้ที่จำเลยทำกับโจทก์ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ แต่ไประบุไว้ในบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญากู้ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้ร้อยละ 20 ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้นี้อาจเปลี่ยนแปลงได้แต่ต้องไม่สูงกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด เมื่อโจทก์ไม่นำสืบถึงการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 20 ตามสัญญากู้เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๒๑ ต่อปีกับให้เอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๖๓๕,๙๒๙ บาท แก่โจทก์ และให้เอาทรัพย์จำนองของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์หากไม่พอให้เอาทรัพย์อื่นของจำเลยออกขายทอด ตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ ให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยให้เสียค่าขึ้นศาลเท่าที่โจทก์ชนะคดีและกำหนดค่าทนายความ ๑,๐๐๐ บาท คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน ๖๓๕,๙๒๙ บาท นับแต่วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๕ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละยี่สิบเอ็ดต่อปีได้หรือไม่ เพียงใด ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัดประกอบธุรกิจประเภทเงินทุนหลักทรัพย์ โดยโจทก์มีนายไชยพจน์ พร้อมพงศ์ มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ยืนยันรับฟังได้ โจทก์จึงเป็นสถาบันการเงินตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ.๒๕๒๓ มาตรา ๓ ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราสูงสุดเกินกว่าร้อยละสิบห้าต่อปีได้ ตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินมาตรา ๔ วรรคสองและวรรคสาม ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๔ มาตรา ๓ โดยจะต้องเป็นไปตามประกาศกระทรวงการคลังที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติดังกล่าว แต่เนื่องจากสัญญากู้ซึ่งจำเลยทำไว้ให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๒๕ ตามเอกสารหมาย จ.๒ ซึ่งแม้ในสัญญาจะไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ก็ตาม แต่ตามบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญากู้ดังกล่าว ลงวันที่เดียวกันได้ระบุให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้ร้อยละยี่สิบต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยตามบันทึกข้อตกลงก็ได้ระบุไว้ว่าอาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ต้องไม่สูงกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด แต่ก็ปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้นำสืบถึงการเปลี่ยนแปลงตามที่ตกลงกันไว้ ดังนี้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเงินกู้จากจำเลยเพียงร้อยละยี่สิบตามสัญญากู้เท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้เพียงร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละยี่สิบต่อปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาเป็นพับ

Share