คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1390/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131บัญญัติให้พนักงานสอบสวนมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดโดยไม่คำนึงว่าจะเป็นหลักฐานที่พนักงานสอบสวนสืบหามาได้เอง หรือที่ผู้เสียหายหรือผู้ต้องหายื่นต่อพนักงานสอบสวนเพื่อเป็นพยาน หรือที่บุคคลภายนอกส่งมา ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะได้ทราบข้อเท็จจริง และพฤติการณ์ต่าง ๆอันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา และเพื่อที่จะรู้ตัวผู้กระทำผิด และพิสูจน์ให้เห็นความผิด
คำบรรยายฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 18 มิถุนายน 2515 ถึง 24 พฤษภาคม 2516 เวลากลางวันและกลางคืน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นรองผู้บังคับกองและผู้บังคับกองสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทราตามลำดับ และเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีอาญาที่เกิดขึ้นในเขตท้องที่ของตน ร่วมกันกระทำการทุจริตต่อหน้าที่ กล่าวคือ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2515 นางหนูกับพวกไปแจ้งความต่อจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์กับพวกกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและฉ้อโกง โจทก์จึงถูกจับมาดำเนินคดีโดยมีจำเลยทั้งสองเป็นพนักงานสอบสวนในการสอบสวนคดีดังกล่าว โจทก์ได้นำเอกสารต่าง ๆ มอบต่อพนักงานสอบสวนประกอบคำให้การของโจทก์ เพื่อพนักงานสอบสวนจะได้ทราบข้อเท็จจริงและความบริสุทธิของโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ยอมรับเอกสารต่าง ๆ ของโจทก์เข้าสำนวนสอบสวน โจทก์เห็นว่าจำเลยทั้งสองกลั่นแกล้งเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายทั้ง ๆ ที่โจทก์ไม่ได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหาเลย ครั้นเดือนพฤษภาคม 2516 วันเวลาใดไม่ทราบแน่ชัด พนักงานอัยการจังหวัดฉะเชิงเทราได้รับสำนวนสอบสวนพร้อมด้วยความเห็นของจำเลยที่ 2 ที่ควรสั่งฟ้องโจทก์ ในที่สุดพนักงานอัยการจังหวัดฉะเชิงเทรายื่นฟ้องโจทก์ในข้อหาร่วมกันยักยอกทรัพย์ โจทก์ต่อสู้คดีโดยนำเอกสารที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมรับเข้าสืบพยาน ผลสุดท้ายศาลยกฟ้องคดีถึงที่สุด การกระทำของจำเลยเห็นได้ชัดแจ้งว่า เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และเพื่อแกล้งให้โจทก์รับโทษทางอาญา เหตุเกิดที่ตำบลท่าสอ้าน ตำบลบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทราเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 83

ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องโจทก์แล้ว เห็นว่าคำฟ้องไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามที่โจทก์อ้าง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131 บัญญัติว่า “ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิดเท่าที่สามารถจะทำได้ เพื่อประสงค์จะทราบข้อเท็จจริง และพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา และเพื่อที่จะรู้ตัวผู้กระทำความผิด และพิสูจน์ให้เห็นความผิด” เห็นว่าตามบทบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้พนักงานสอบสวนมีหน้าที่รวบรวมหลักฐานทุกชนิดโดยไม่คำนึงว่าจะเป็นหลักฐานที่พนักงานสอบสวนสืบหามาได้เองหรือที่ผู้เสียหายหรือผู้ต้องหายื่นต่อพนักงานสอบสวน เพื่อเป็นพยานหรือที่บุคคลภายนอกส่งมา ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา และเพื่อที่จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิด ในฟ้องของโจทก์ ๆ บรรยายว่า “โจทก์นำเอกสารต่าง ๆ มอบต่อพนักงานสอบสวนประกอบคำให้การของโจทก์ เพื่อพนักงานสอบสวนจะได้ทราบข้อเท็จจริง และความบริสุทธิ์ของโจทก์ จำเลยทั้งสองก็ไม่ยอมรับเอกสารต่าง ๆ ของโจทก์เข้าสำนวนการสอบสวนโจทก์จึงเห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีเจตนาแกล้งเพื่อให้โจทก์ได้รับโทษ และได้รับความเสียหายทั้ง ๆ ที่โจทก์มิได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหาเลย” และได้บรรยายต่อไปอีกว่า พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลจังหวัดฉะเชิงเทราข้อหาว่าร่วมกันยักยอกทรัพย์ โจทก์ต่อสู้คดีโดยนำเอกสารที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมรับเข้าสืบเป็นพยาน ผลที่สุดศาลยกฟ้อง และคดีถึงที่สุด การกระทำของจำเลยแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่าเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ และเพื่อแกล้งให้โจทก์ได้รับโทษทางอาญา เห็นว่าถ้าจำเลยทั้งสองยอมรับเอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์ส่งเข้าสำนวนสอบสวนแล้ว จำเลยทั้งสองก็จะได้รับทราบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม และอาจสั่งไม่ฟ้องโจทก์ก็ได้แม้จะสั่งฟ้อง เมื่อพนักงานอัยการเห็นเอกสารเหล่านั้นก็อาจจะสั่งไม่ฟ้องก็ได้ คำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังที่ยกขึ้นมากล่าวแล้ว จึงมีมูลว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ หรือปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

พิพากษากลับเป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนมูลฟ้องของโจทก์ตามบทมาตรานี้ต่อไป

Share