แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทต้องถือราคาในขณะเมื่อยื่นคำฟ้องส่วนเนื้อที่ดินของที่พิพาทต้องถือตามจำนวนที่คำนวณได้จากแผนที่วิวาทซึ่งคู่ความได้รับรองความถูกต้องแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรุกล้ำที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ 24 ตารางวา คิดเป็นราคาที่ดิน 9,600 บาท ในขณะฟ้องตกตารางวาละ 400 บาท แต่ในขณะเบิกความมีราคาตารางวาละ 700 บาท เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทตามรูปแผนที่กลางอันเป็นประเด็นโต้เถียงกันในคดีนี้มีเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางวา ที่พิพาทจึงมีราคาในขณะเมื่อยื่นคำฟ้องเพียง 3,200 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 2313 ฯลฯ ทิศเหนือจดที่ดินจำเลยกว้าง 11 วา เมื่อระหว่างปี 2509 – 2510 จำเลยได้ทำรั้วลวดหนามทางทิศใต้ของที่ดินจำเลยรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ตลอดแนวทิสเหนือ มีเนื้อที่ทั้งหมด 24 ตารางวา คิดเป็นราคาที่ดิน9,600 บาท โจทก์ได้บอกให้จำเลยรื้อรั้วลวดหนามที่รุกล้ำเข้ามาจำเลยเพิกเฉย เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์คิดเป็นค่าเช่าเดือนละ 100 บาท ขอให้บังคับจำเลยรื้อรั้วลวดหนามออกไป หรือชดใช้เงิน 9,600 บาท และใช้เงินเดือนละ 100 บาทแก่โจทก์ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อรั้วลวดหนามออกไป
จำเลยให้การว่า จำเลยทำรั้วลวดหนามในที่ดินตามเขตโฉนดเลขที่ 2314 ของจำเลย เขตโฉนดที่ดินของจำเลยยังอยู่นอกรั้วออกไปอีกประมาณ 40 เซนติเมตร จำเลยได้ครอบครองที่ดินส่วนนี้มาด้วยความสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของมาเกินกว่าสิบปีแล้ว ค่าขาดประโยชน์เดือนละ100 บาท ไม่เป็นความจริง ขอให้ยกฟ้อง
ชั้นพิจารณา ได้ทำแผนที่วิวาทซึ่งคู่ความรับรองความถูกต้องปรากฏว่าเขตพิพาทตามแผนที่วิวาท ช่างผู้ทำแผนที่คำนวณเนื้อที่ได้ประมาณ 0 – 0 – 8 ไร่
ศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทมีเนื้อที่เพียง 8 ตารางวา อยู่ในเขตโฉนดของจำเลย จำเลยทำรั้วตามแนวเขตที่ดินของจำเลย มิได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่วินิจฉัยประเด็นค่าเสียหาย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทตามรูปแผนที่กลางอันเป็นประเด็นโต้เถียงกันในคดีนี้มีเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางวา โจทก์เบิกความว่าที่ดินมีราคาในขณะฟ้องตารางวาละ 400 บาท แต่ขณะที่โจทก์เบิกความ มีราคาตารางวาละ 700 บาท ตามฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์เป็นเนื้อที่ 24 ตารางวา คิดเป็นเงิน 9,600 บาท ตกตารางวาละ 400 บาท ดังคำเบิกความของโจทก์ ที่พิพาทจึงมีราคาในขณะเมื่อยื่นคำฟ้องเพียง 3,200 บาท ต้องถือว่าจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 5,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีนี้จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
ฎีกาของโจทก์สรุปความได้ว่า ตามข้อเท็จจริงยอมรับกันว่าจำเลยทำรั้วรุกล้ำที่ดินโจทก์จริง แต่จำเลยอ้างว่าครอบครองปรปักษ์มากกว่า10 ปีแล้ว เป็นฎีกาฝืนหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน เพราะจำเลยมิได้ให้การหรือยอมรับว่าทำรั้วรุกล้ำที่ดินของโจทก์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และข้อฎีกาที่ว่า ตามหลักฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่ตามแนวเขตพิพาทและพฤติการณ์หลายประการของจำเลยแสดงว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของที่พิพาท แต่มีหลักฐานว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ก็เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เพราะเป็นปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยจากพยานหลักฐานคดีต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกา
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์