คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1389/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงเบื้องต้น (MOU) ระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 5 เป็นข้อตกลงระหว่างผู้ค้ำประกันด้วยกันเอง โจทก์ในฐานะผู้รับโอนหนี้จากธนาคาร ด. มิได้ตกลงยินยอมด้วย จึงไม่มีผลให้จำเลยที่ 5 หลุดพ้นจากการเป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันทรัสต์รีซีทที่ทำกับธนาคาร ด. ส่วนการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญาสินเชื่อกับโจทก์ ปรากฏว่าเนื้อหาของสัญญาดังกล่าวเป็นการที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 2 มาร่วมใช้วงเงินสินเชื่อที่จำเลยที่ 1 เคยได้รับจากธนาคาร ด. พร้อมกันนั้นได้มีการขอเพิ่มวงเงินสินเชื่อและเปลี่ยนแปลงประเภทวงเงินสินเชื่อ โดยไม่ได้ตกลงให้หนี้เดิมระงับและบังคับตามหนี้ใหม่ สิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้เดิมมิได้มีการเปลี่ยนแปลง กรณีถือไม่ได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงหนี้ใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 349 ไม่ทำให้หนี้ของจำเลยที่ 5 ที่มีต่อโจทก์ระงับสิ้นไป จำเลยที่ 5 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
ตามสัญญาค้ำประกันทรัสต์รีซีทระบุว่า “สัญญาค้ำประกันฉบับนี้ให้ใช้บังคับโดยเอกเทศ ไม่ลบล้างหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขภาระผูกพันของลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกันเองที่มีต่อธนาคารอยู่ก่อนหรือหลังวันทำสัญญานี้ และให้มีผลผูกพันตลอดถึงกองมรดก ทายาทผู้รับมรดก ผู้จัดการทรัพย์สิน รวมทั้งผู้รับโอนสิทธิและหน้าที่ของผู้ค้ำประกัน ก็ให้ใช้สัญญาฉบับนี้บังคับได้ด้วย” เมื่อโจทก์ได้รับโอนหนี้มาจากธนาคาร ด. โดยชอบ จำเลยที่ 6 และที่ 7 ผู้ค้ำประกันจึงต้องผูกพันต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนด้วย การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญาเพิ่มวงเงินสินเชื่อเดิมกับโจทก์มิใช่การทำสัญญาที่แยกต่างหากจากสัญญาเดิม จำเลยที่ 6 และที่ 7 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในหนี้ทรัสต์รีซีทที่เกิดขึ้นภายหลังวันทำสัญญาสินเชื่อด้วย
โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ การคิดอัตราดอกเบี้ยจะต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติของ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 มาตรา 38 และ 46 ประกอบมาตรา 4 ที่กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสถาบันการเงินประกาศข้อมูลในเรื่องอัตราดอกเบี้ย อัตราส่วนลด และค่าบริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเรียกชื่อเป็นอย่างอื่น รวมทั้งข้อมูลอื่นใดเกี่ยวกับธนาคารพาณิชย์นั้นไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของธนาคารพาณิชย์ ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด คดีนี้ ธนาคารโจทก์มีการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเป็นช่วง ๆ ดังนั้น หากอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผิดนัดต่ำตามประกาศธนาคารโจทก์นับถัดจากวันฟ้องต่ำกว่าอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี ตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง อัตราดังกล่าวก็จะเป็นอัตราที่สูงเกินกว่าสิทธิที่โจทก์จะเรียกได้ตามกฎหมาย จึงเห็นสมควรกำหนดอัตราดอกเบี้ยแก่โจทก์ให้ถูกต้องตามสิทธิที่โจทก์พึงเรียกได้ และเนื่องจากจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 เป็นผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อย่างลูกหนี้ร่วม จึงเป็นกรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ เห็นสมควรแก้ไขการคิดอัตราดอกเบี้ยภายหลังวันฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ด้วย แม้จำเลยดังกล่าวจะมิได้อุทธรณ์คำพิพากษา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 304,846,223.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 258,094,162.61 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงินจำนวน 25,902,632.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 21,856,298.55 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 6 ร่วมรับผิดชำระเงินจำนวน 36,088,810.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 30,519,545.29 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 7 ร่วมรับผิดชำระเงินจำนวน 36,088,810.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 30,519,545.29 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งเจ็ดให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันรับผิดชำระเงินจำนวน 304,846,223.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี จากต้นเงิน 258,094,162.61 บาท ให้จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงินจำนวน 25,902,632.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 21,856,298.55 บาท ให้จำเลยที่ 6 ร่วมรับผิดชำระเงินจำนวน 36,088,810.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 30,519,545.29 บาท ให้จำเลยที่ 7 ร่วมรับผิดชำระเงินจำนวน 36,088,810.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 30,519,545.29 บาท แก่โจทก์ นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้น ให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 100,000 บาท
จำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์ จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ไม่อุทธรณ์โต้แย้งกันในชั้นอุทธรณ์รับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน โจทก์รับโอนหนี้ของจำเลยทั้งเจ็ดจากธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) เดิมจำเลยที่ 1 เป็นลูกค้าและลูกหนี้ธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) สาขาราชวงศ์ จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติวงเงินสินเชื่อเลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสต์รีซีทจากธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) รวม 20,000,000 บาท จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ได้รับวงเงินซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าจากธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 3 และที่ 5 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) ในหนี้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 หลังจากโจทก์รับโอนหนี้และภาระผูกพันของจำเลยที่ 1 จากธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) แล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับสินเชื่อเลตเตอร์ออฟเครดิต ทรัสต์รีซีท ชิปปิ้งการันตี รับซื้อตั๋วแลกเงินและหรือเอกสารการส่งสินค้าออก สินเชื่อค้ำประกัน/รับรอง/รับอาวัลตั๋วเงิน และสินเชื่อซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าจากโจทก์ จำเลยที่ 3 และที่ 4 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อโจทก์โดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 อย่างลูกหนี้ร่วม นอกจากนี้จำเลยที่ 2 ยินยอมให้โจทก์หักชำระหนี้จากบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 172-3-01XXX-X ของจำเลยที่ 2 ต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าให้แก่ผู้ขายที่อยู่ในต่างประเทศ โจทก์ชำระเงินให้แก่ผู้ขายสินค้าแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญาทรัสต์รีซีทและออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ เมื่อถึงกำหนดชำระตามสัญญาทรัสต์รีซีทและตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งออกตามเลตเตอร์ออฟเครดิตเลขที่ ไอแอลซี 55110374 ของจำเลยที่ 1 และตามเลตเตอร์ออฟเครดิตเลขที่ ไอแอลซี 55110372 ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์นำเงินจากบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 172-3-01XXX-X ของจำเลยที่ 2 เงินฝากของจำเลยที่ 1 และของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 มาหักชำระหนี้ คงเหลือภาระหนี้จำนวน 176,982,912.48 บาท จำเลยที่ 1 ขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าจากโจทก์และขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดนัดตามสัญญาขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต ทรัสต์รีซีท และตั๋วสัญญาใช้เงิน โจทก์ถือว่าหนี้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าถึงกำหนดชำระ จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์จำนวน 327,007.70 บาท และจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์จำนวน 4,332,694.32 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งเจ็ดชำระหนี้แล้วแต่จำเลยทั้งเจ็ดเพิกเฉย
ที่จำเลยที่ 5 อุทธรณ์ว่า คำฟ้องโจทก์เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 5 ให้การว่าคำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม ไม่ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างของโจทก์ และเป็นคำฟ้องที่สับสนวกวนไปมาทำให้จำเลยที่ 5 ไม่อาจเข้าใจคำฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยที่ 5 เข้าไปเกี่ยวข้องกับมูลหนี้ของจำเลยที่ 1 และจำเลยคนอื่น ๆ อย่างไรบ้าง ทำให้จำเลยที่ 5 ไม่สามารถให้การต่อสู้คดีได้อย่างชัดแจ้ง ซึ่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า การบรรยายฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาครบถ้วนแล้ว คำฟ้องจึงสมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง อุทธรณ์ของจำเลยที่ 5 ระบุแต่เพียงว่าภาระหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดขึ้นภายหลังจากการบอกเลิกการค้ำประกันของจำเลยที่ 5 ทำให้จำเลยที่ 5 เข้าใจว่าเป็นการฟ้องร้องที่เกี่ยวข้องกับสัญญาค้ำประกันเบิกเงินเกินบัญชีอันเป็นหนี้อื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับภาระหนี้ในคดีนี้ จำเลยที่ 5 จึงรับว่าหากมีภาระหนี้เกิดขึ้น จำเลยที่ 5 ไม่ต้องรับผิดเกินจำนวน 2,568,381.43 บาท อันเป็นการหลงต่อสู้ในประเด็นอื่น ข้อความในอุทธรณ์ของจำเลยที่ 5 ดังกล่าว มิได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางว่าวินิจฉัยไม่ชอบอย่างไร จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558 มาตรา 12 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 38 (เดิม) และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 6 และที่ 7 ข้อแรกว่า คำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141 (4) และ (5) หรือไม่ เห็นว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า โจทก์นำพยานบุคคลเข้าสืบรวม 5 ปาก และอ้างเอกสารเป็นพยานรวม 183 ฉบับ และมีข้อความว่า “คดีได้ความชัดเจนตามที่ได้แสดงไว้ข้างต้น” ซึ่งหมายถึง ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบตามที่ปรากฏในคำพิพากษาหน้าที่ 7 ถึงหน้าที่ 21 รับฟังได้ และได้วินิจฉัยพยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยแล้ว โดยปรากฏจากข้อความว่า “ส่วนฝ่ายจำเลยยกข้อต่อสู้และแม้มีการสืบพยานบุคคลประกอบก็ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ คดีจึงฟังได้ตามคำฟ้องโจทก์” แม้คำวินิจฉัยดังกล่าวจะรวบรัดไปบ้างแต่ประเด็นแห่งคดีของคดีนี้คือ จำเลยทั้งเจ็ดต้องรับผิดต่อโจทก์ตามคำฟ้องหรือไม่ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวรวมทั้งให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งเจ็ด คำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจึงชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141 (4) และ (5) แล้ว อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยที่ 6 และที่ 7 ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 5 ว่า จำเลยที่ 5 ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด โจทก์มีนางณัฐินี ผู้รับมอบอำนาจช่วงโจทก์ซึ่งเป็นที่ปรึกษากฎหมายของโจทก์และเป็นผู้ตรวจสอบเอกสารสัญญาทั้งหมดกับภาระหนี้ของจำเลยทั้งเจ็ดมาเบิกความเป็นพยานประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นสรุปได้ว่า จำเลยที่ 5 ผูกพันตนเองเข้าค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 5 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ในหนี้เลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสต์รีซีทตามสัญญาค้ำประกันจำนวน 40,000,000 บาท หักเงินฝากของจำเลยที่ 5 ที่นำมาชำระบางส่วนจำนวน 18,470,709.15 บาท เหลือหนี้ต้นเงินจำนวน 21,529,290.85 บาท โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ระบุไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินจนถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน 3,988,704.45 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 25,517,995.30 บาท นอกจากนี้จำเลยที่ 5 ยังต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในหนี้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าเป็นต้นเงินจำนวน 327,007.70 บาท โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี จนถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน 57,629.51 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 384,637.21 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 5 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ทั้งสิ้นจำนวน 25,902,632.51 บาท ฝ่ายจำเลยมีจำเลยที่ 5 มาเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นว่า จำเลยที่ 5 ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยอื่นเพราะได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กับจำเลยที่ 3 เพื่อให้ถอดถอนและให้จำเลยที่ 5 หลุดพ้นจากการเป็นผู้ค้ำประกันของจำเลยที่ 1 แล้วตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2549 ในระหว่างเดือนพฤษภาคม 2553 ถึงเดือนตุลาคม 2554 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไปขอสินเชื่อจากโจทก์โดยตรงและมีจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้เข้าทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ทั้งปวงไว้แก่โจทก์โดยจำเลยที่ 5 ไม่ได้มีส่วนร่วมหรือรู้เห็นหรือยินยอมด้วยกับการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และเป็นการก่อหนี้ในภายหลังจากที่จำเลยที่ 5 ตกลงกับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 แล้ว การที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เข้าทำสัญญาขออนุมัติสินเชื่อและทำสัญญาค้ำประกันฉบับใหม่ในปี 2553 และปี 2554 เป็นการแปลงหนี้ใหม่ภายหลังจากที่จำเลยที่ 5 หลุดพ้นจากการเป็นผู้ค้ำประกันของจำเลยที่ 1 โดยสิ้นเชิงแล้ว มีผลทำให้สัญญาค้ำประกันและหนังสือรับรองวงเงินร่วมที่จำเลยที่ 5 เคยทำไว้กับธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2534 และปี 2543 ระงับไปด้วยการแปลงหนี้ใหม่ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เห็นว่า ข้อตกลง (MOU) ระหว่างจำเลยที่ 3 และที่ 5 เป็นข้อตกลงระหว่างกันเองในฝ่ายจำเลย โจทก์ในฐานะผู้รับโอนหนี้จากธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) มิได้ตกลงยินยอมด้วยจึงไม่มีผลทำให้จำเลยที่ 5 หลุดพ้นจากการเป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันทรัสต์รีซีทที่ทำกับธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) ฉบับลงวันที่ 25 สิงหาคม 2532 และวันที่ 16 ธันวาคม 2534 กับสัญญาค้ำประกันที่ทำกับธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) ฉบับลงวันที่ 13 ตุลาคม 2543 ส่วนการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญากับโจทก์ตามสัญญาสินเชื่อ ฉบับลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 ปรากฏว่าเนื้อหาของสัญญาดังกล่าวเป็นการที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 2 มาร่วมใช้วงเงินสินเชื่อที่จำเลยที่ 1 เคยได้รับจากธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) พร้อมกันนั้นได้มีการขอเพิ่มวงเงินสินเชื่อและเปลี่ยนแปลงประเภทวงเงินสินเชื่อ โดยไม่ได้มีการตกลงกันให้หนี้เดิมระงับและบังคับตามหนี้ใหม่ สิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้เดิมมิได้มีการเปลี่ยนแปลง กรณีถือไม่ได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 ไม่ทำให้หนี้ของจำเลยที่ 5 ที่มีอยู่ต่อโจทก์ระงับสิ้นไป จำเลยที่ 5 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ ในส่วนของยอดหนี้นั้น จำเลยที่ 5 มิได้นำสืบโต้แย้งพยานหลักฐานของโจทก์ให้เห็นเป็นอย่างอื่นจึงรับฟังได้ตามจำนวนที่ปรากฏในทะเบียนภาระหนี้ ซึ่งเมื่อคำนวณถึงวันฟ้องจำเลยที่ 5 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์เป็นเงิน 25,902,632.51 บาท อุทธรณ์ของจำเลยที่ 5 ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 6 และที่ 7 ข้อต่อมาว่า จำเลยที่ 6 และที่ 7 ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด โจทก์มีนางณัฐินี ผู้รับมอบอำนาจช่วงโจทก์มาเบิกความเป็นพยานประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นสรุปได้ว่าจำเลยที่ 6 และที่ 7 ผูกพันตนเองเข้าค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันทรัสต์รีซีท เอกสารหมาย จ.19 และ 21 จำเลยที่ 6 และที่ 7 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ในหนี้เลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสต์รีซีทตามสัญญาค้ำประกันจำนวน 40,000,000 บาท หักเงินฝากของจำเลยที่ 6 และที่ 7 ที่นำมาชำระหนี้บางส่วนจำนวนคนละ 9,480,454.71 บาท คงเหลือหนี้ต้นเงินคนละ 30,519,545.29 บาท โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ระบุไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินจนถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน 5,569,265.08 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 36,088,810.37 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 6 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ทั้งสิ้นจำนวน 36,088,810.37 บาท และรวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 7 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ทั้งสิ้นจำนวน 36,088,810.37 บาท ฝ่ายจำเลยมีตัวจำเลยที่ 6 และที่ 7 มาเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 6 และที่ 7 ไม่มีภาระหนี้ค้ำประกันกับโจทก์ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันทรัสต์รีซีท ฉบับลงวันที่ 25 สิงหาคม 2532 เอกสารหมาย จ.19 เนื่องจากเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2534 จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติเพิ่มวงเงินสินเชื่อเลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสต์รีซีทอีกจำนวน 20,000,000 บาท รวมเป็นวงเงินสินเชื่อ 40,000,000 บาท ธนาคารไทยทนุ จำกัด (มหาชน) จึงให้จำเลยที่ 6 และที่ 7 ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันทรัสต์รีซีท ฉบับลงวันที่ 16 ธันวาคม 2534 เอกสารหมาย จ.21 จำนวน 40,000,000 บาท ซึ่งเป็นการค้ำประกันเต็มจำนวนสินเชื่อที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติจากธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) ในขณะนั้นแล้ว หนังสือสัญญาค้ำประกันทรัสต์รีซีทเอกสารหมาย จ.19 จึงซ้ำซ้อนกับหนังสือสัญญาค้ำประกันทรัสต์รีซีทเอกสารหมาย จ.21 ดังนี้หนังสือสัญญาค้ำประกันทรัสต์รีซีทเอกสารหมาย จ.19 จึงสิ้นความผูกพันมาตั้งแต่ปี 2534 โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 6 และที่ 7 ให้ชำระหนี้โดยอาศัยหนังสือสัญญาค้ำประกันทรัสต์รีซีท เอกสารหมาย จ.19 อีก สำหรับหนังสือสัญญาค้ำประกันทรัสต์รีซีทเอกสารหมาย จ.21 จำเลยที่ 6 และที่ 7 ประสงค์จะค้ำประกันทรัสต์รีซีทที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) ก่อนหรือขณะที่จำเลยที่ 6 และที่ 7 ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันทรัสต์รีซีทเอกสารหมาย จ.21 เท่านั้น หนังสือสัญญาค้ำประกันฉบับดังกล่าวไม่ผูกพันจำเลยที่ 6 และที่ 7 ให้ต้องรับผิดชอบในทรัสต์รีซีทที่จำเลยที่ 1 ทำกับธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) หลังวันดังกล่าว มูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องให้จำเลยที่ 6 และที่ 7 รับผิดเป็นมูลหนี้ที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นตามสัญญาสินเชื่อที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำกับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.26 ถึง จ.29 ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประสงค์จะใช้สินเชื่อจำนวน 600,000,000 บาท เกินกว่าจำนวน 40,000,000 บาท ที่จำเลยที่ 6 และที่ 7 ค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.21 และจำเลยที่ 6 และที่ 7 มิได้ค้ำประกันหนี้ที่ก่อขึ้นตามสัญญาสินเชื่อดังกล่าว จำเลยที่ 6 และที่ 7 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เห็นว่า ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันทรัสต์รีซีท เอกสารหมาย จ.19 และ จ.21 ข้อ 12 ระบุว่า “สัญญาค้ำประกันฉบับนี้ให้ใช้บังคับโดยเอกเทศ ไม่ลบล้างหรือเปลี่ยนแปลงแก้ภาระผูกพันของลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกันเองที่มีต่อธนาคารอยู่ก่อนหรือหลังวันทำสัญญานี้ และให้มีผลผูกพันตลอดถึงกองมรดก ทายาทผู้รับมรดก ผู้จัดการทรัพย์สิน รวมทั้งผู้รับโอนสิทธิและหน้าที่ของผู้ค้ำประกัน ก็ให้ใช้สัญญาฉบับนี้บังคับได้ด้วย” เมื่อโจทก์ได้รับโอนหนี้มาจากธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 6 และที่ 7 จึงต้องผูกพันต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนด้วย การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญาสินเชื่อ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 กับโจทก์มิใช่การทำสัญญาที่แยกต่างหากจากสัญญาเดิมที่จำเลยที่ 1 ทำกับธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) แต่เป็นการเพิ่มวงเงินสินเชื่อเดิม ดังที่ปรากฏในสัญญาสินเชื่อ ข้อ 7.2 วรรคสองที่ว่า “…ขอเพิ่มวงเงินสินเชื่อและเปลี่ยนแปลงประเภทวงเงินสินเชื่อจากเดิม…” จำเลยที่ 6 และที่ 7 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในหนี้ทรัสต์รีซีทที่เกิดขึ้นภายหลังวันทำสัญญาสินเชื่อด้วย ข้อเท็จจริงได้ความจากนางอรพินทร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการและบริการ ฝ่ายการต่างประเทศของโจทก์ว่า จำเลยที่ 6 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ในหนี้เลตเตอร์ออฟเครดิต ทรัสต์รีซีทและตั๋วสัญญาใช้เงินตามสัญญาค้ำประกันจำนวน 40,000,000 บาท หักเงินฝากของจำเลยที่ 6 ที่นำมาชำระหนี้บางส่วนจำนวน 9,480,454.71 บาท คงเหลือภาระหนี้ต้นเงินจำนวน 30,519,545.29 บาท และจำเลยที่ 7 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ในหนี้เลตเตอร์ออฟเครดิต ทรัสต์รีซีทและตั๋วสัญญาใช้เงินตามสัญญาค้ำประกันจำนวน 40,000,000 บาท หักเงินฝากของจำเลยที่ 7 ที่นำมาชำระหนี้บางส่วนจำนวน 9,480,454.71 บาท คงเหลือภาระหนี้ต้นเงินจำนวน 30,519,545.29 บาท ตามคำเบิกความดังกล่าวจำเลยที่ 6 และที่ 7 ยังคงรับผิดในต้นเงินไม่เกินกว่าวงเงินที่จำเลยที่ 6 และที่ 7 ค้ำประกันตามหนังสือสัญญาค้ำประกันทรัสต์รีซีท เอกสารหมาย จ.21 จึงฟังว่าการคำนวณยอดหนี้ของโจทก์ตามฟ้องในรายของจำเลยที่ 6 และที่ 7 ชอบแล้ว จำเลยที่ 6 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์คำนวณถึงวันฟ้องจำนวน 36,088,810.37 บาท และจำเลยที่ 7 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์คำนวณถึงวันฟ้องจำนวน 36,088,810.37 บาท อุทธรณ์ของจำเลยที่ 6 และที่ 7 ข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้น
อย่างไรก็ดีที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงินจำนวน 25,902,632.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 21,856,298.55 บาท ให้จำเลยที่ 6 ร่วมรับผิดชำระเงินจำนวน 36,088,810.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 30,519,545.29 บาท ให้จำเลยที่ 7 ร่วมรับผิดชำระเงินจำนวน 36,088,810.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 30,519,545.29 บาท แก่โจทก์ นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นนั้น เห็นว่า โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ การคิดอัตราดอกเบี้ยจะต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 มาตรา 38 และ 46 ประกอบมาตรา 4 ที่กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสถาบันการเงินประกาศข้อมูลในเรื่องอัตราดอกเบี้ย อัตราส่วนลด และค่าบริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเรียกชื่อเป็นอย่างอื่นรวมทั้งข้อมูลอื่นใดเกี่ยวกับธนาคารพาณิชย์นั้นไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้ประชาชนและลูกค้าที่มาติดต่อหรือใช้บริการในสถานที่นั้นทราบข้อมูลดังกล่าว และให้รายงานพร้อมส่งสำเนาประกาศหรือข้อมูลนั้นให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด และกรณีที่มีเหตุอันสมควร ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจประกาศกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลดที่อาจเรียกได้โดยให้ธนาคารพาณิชย์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินอัตราตามประกาศ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวมีการปรับเปลี่ยนขึ้นลงเป็นช่วง ๆ ตามภาวะเศรษฐกิจและตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ในคดีนี้ธนาคารโจทก์มีการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเป็นช่วง ๆ ดังนั้นหากอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผิดนัดต่ำตามประกาศธนาคารโจทก์นับถัดจากวันฟ้องต่ำกว่าอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15.50 ต่อปี ตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางก็จะเป็นอัตราที่สูงเกินกว่าสิทธิที่โจทก์จะเรียกได้ตามกฎหมาย จึงเห็นสมควรกำหนดอัตราดอกเบี้ยแก่โจทก์ให้ถูกต้องตามสิทธิที่โจทก์พึงเรียกได้ จึงเห็นควรแก้ไขการคิดดอกเบี้ยภายหลังวันฟ้องให้ถูกต้อง และเนื่องจากจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 เป็นผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อย่างลูกหนี้ร่วมจึงเป็นกรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ เมื่อได้แก้ไขการคิดอัตราดอกเบี้ยที่ใช้กับจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 แล้ว เห็นสมควรแก้ไขการคิดอัตราดอกเบี้ยภายหลังวันฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ด้วยแม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558 มาตรา 12 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 (1)
พิพากษาแก้เป็นว่า ดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 กันยายน 2556) ให้คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดกรณีผิดนัดชำระหนี้ตามประกาศของธนาคารโจทก์ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share