แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นตำรวจประจำอยู่ในกรุงเทพฯ พากันไปแกล้งจับผู้เสียหายที่จังหวัดนครนายก หาว่าเล่นสลากกินรวบขอค้นบ้าน แล้วงัดลิ้นชักโต๊ะหยิบเอาเงินและปืนไปเพื่อประโยชน์แก่ตน ดังนี้ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 แล้ว แม้จำเลยจะหยิบเอาเงินและปืนนั้นไปเองก็ดี แต่เมื่อเป็นเพราะเหตุที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานผู้เสียหายจึงไม่กล้าแย่งคืน หรือเพราะผู้เสียหายอาจจะเข้าใจว่าจำเลยเอาไปเป็นวัตถุพยาน ดังนั้น จึงถือได้ว่าผู้เสียหายได้มอบให้แก่จำเลยตามความหมายของมาตรานี้แล้ว และเมื่อจำเลยมีความผิดตามมาตรา 148 แล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยถึงมาตรา 157 อันเป็นบทลงโทษทั่วไปซึ่งมีอัตราโทษน้อยกว่าอีก (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2506 เฉพาะที่เกี่ยวกับมาตรา 148)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า พลตำรวจสนิท จำเลยที่ 1 เป็นตำรวจสังกัดกองตำรวจสันติบาล ปทุมวัน พลตำรวจจิตร จำเลยที่ 2 สังกัดกองบังคับการกองปราบปรามปทุมวัน พลตำรวจสุรศิลป์เป็นตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลเรือนจำกลางคลองเปรม มีอำนาจหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดได้ทั่วราชอาณาจักร (ส่วนนายสนุ่นจำเลยที่ 4 เป็นราษฎร) จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำผิดหลายกระทง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 149, 157, 309, 310, 83, 86 พระราชบัญญัติเครื่องแบบตำรวจ พ.ศ. 2477 (ฉบับที่ 2) มาตรา 6(2) และขอให้ริบของกลาง กับให้จำเลยคืนเงินที่ยังไม่ได้คืน
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1, 2, 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 157, 309, 310, 83 จำเลยที่ 3 ผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องแบบตำรวจ พ.ศ. 2477 (ฉบับที่ 2) มาตรา 6(2) อีกกระทงหนึ่งด้วย แต่ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90, 91จำคุกคนละ 6 ปี ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 4 เสีย เครื่องแบบตำรวจของกลางให้ริบ ส่วนเงิน 400 บาทคืนให้จำเลยที่ 3 คำขออื่นให้ยกเสีย
จำเลยที่ 1, 2, 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องแบบตำรวจ ลงโทษจำคุก 3 เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ 1, 2
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2, 3
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า วันเกิดเหตุเวลาราว 17 น. นางสังวาลย์ไปเก็บผักห่างบ้าน (ที่ตำบลบ้านพริก อำเภอบ้านนาจังหวัดนครนายก) ราว 3 เส้น นายหนูสามีไปธุระยังไม่กลับ ที่บ้านมีแต่นางสาวอำไพบุตรสาว ขณะนั้นฝนตก นายโหนนายลำพึงนายชื้นนายศักดิ์ได้มายืนหลบฝนอยู่ที่ใต้ชายคาหน้าบ้าน มีรถยนต์แท็กซี่มาจอดที่ถนนหน้าบ้าน จำเลยที่ 1, 2 ลงจากรถมายังคนที่หลบฝนอยู่จำเลยที่ 3 แต่งเครื่องแบบสิบตำรวจโท จำเลยที่ 1, 2 ไม่ได้แต่งเครื่องแบบ จำเลยที่ 3 พูดขอตรวจค้น แล้วบังคับให้นายโหนกับพวกเข้าไปในบ้านนางสังวาลย์ โดยจำเลยที่ 1, 2, 3 ตามเข้าไปด้วยจำเลยที่ 3 ค้นได้กระดาษเขียนตัวเลขจากนายศักดิ์ นายศักดิ์ว่าเป็นของเขา จำเลยที่ 3 ก็เอากระดาษวางบนโต๊ะเขียนหนังสือ พอดีนางสังวาลย์กลับมา จำเลยที่ 1 บอกว่าเป็นนายร้อยมาจากกรุงเทพฯจะขอค้นสลากกินรวบและชูบัตรขนาด 3 นิ้วให้ดู นางสังวาลย์ยอมให้ค้นขึ้นไปค้นชั้นบนไม่ได้อะไร จึงขอค้นโต๊ะที่ชั้นล่าง นางสังวาลย์บอกว่าสามีเอาลูกกุญแจไป จำเลยที่ 3 ก็ใช้ขวานตีเหล็กเข้าไปที่ช่องลิ้นชักงัดออกมา หยิบเอาปืนวอลเทอร์ 1 กระบอกกับธนบัตร5,000 กว่าบาทขึ้นมาวางบนโต๊ะ จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 เขียนบันทึกให้ผู้ที่ถูกจับลงชื่อ แล้วจำเลยที่ 1 บอกว่าใช้ไม่ได้ และเขียนเองให้นางสังวาลย์นายศักดิ์นายลำพึงนายชื้นลงชื่อเสร็จแล้วเอาแต่นางสังวาลย์กับนายศักดิ์ไปขึ้นรถ จำเลยที่ 3 หยิบธนบัตรและปืนไปด้วย นางสังวาลย์ถามว่าจะไปไหน จำเลยที่ 1 บอกว่าไปกรุงเทพฯ แต่จะแวะลงประจำวันที่สถานีตำรวจบ้านนาก่อน เมื่อขึ้นรถแล้วรถบ่ายโฉมหน้าไปกรุงเทพฯ คนละทางกับอำเภอบ้านนาจำเลยที่ 4 เป็นคนขับรถ นางสังวาลย์ถามว่าทำไมไปทางนี้จำเลยที่ 1 ว่าไปสถานีตำรวจบ้านนาเสียเวลา จะไปสถานีตำรวจวิหารแดงแต่แล้วรถจำเลยก็ขับผ่านสถานีตำรวจวิหารแดงโดยไม่แวะ นางสังวาลย์ถามก็ไม่ตอบ พอถึงตำบลโคกกระต่ายจำเลยที่ 3 ก็ถอดเครื่องแบบออกพอถึงเขาโป่งแร้ง พอดีมืดก็หยุดรถ จำเลยที่ 1 ถือปืนลงจากรถนางสังวาลย์ว่านี่เขาโป่งแร้ง จำเลยที่ 1 พูดว่านี่แหละถึงที่ตายพอดีรถนายนาคกำนันกับตำรวจสายตรวจตามมาทัน จับจำเลยส่งสถานีตำรวจบ้านนา นางสังวาลย์แจ้งความว่าจำเลยปล้นทรัพย์และทุจริตต่อหน้าที่จำเลยแจ้งว่ามาจับการพนันสลากกินรวบ เจ้าหน้าที่สอบสวนแล้วเห็นว่า นางสังวาลย์ไม่ได้กระทำผิดฐานเล่นสลากกินรวบ นายศักดิ์กระทำผิดแต่ผู้เดียว ส่วนจำเลยได้ความว่าทุจริตต่อหน้าที่ ขู่เข็ญเอาทรัพย์ ทำให้เสียอิสรภาพ
ปัญหามีว่า จำเลยทั้งสามจะมีผิดตามกฎหมายบทใด ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสามเป็นตำรวจมีอำนาจหน้าที่จะจับกุมผู้ที่ตนเข้าใจว่ากระทำผิดอาญาได้ทั่วประเทศไทยการที่จำเลยแกล้งจับนางสังวาลย์หาว่าเล่นสลากกินรวบแล้วงัดลิ้นชักโต๊ะหยิบเอาเงินและปืนไปเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง เช่นนี้ได้ชื่อว่าจำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจให้นางสังวาลย์มอบเงินและปืนให้จำเลย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 แล้ว แม้จำเลยจะหยิบเอาไปเองก็ดี แต่เพราะเหตุที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน นางสังวาลย์จึงไม่กล้าแย่งคืน หรืออาจจะเข้าใจว่าจำเลยเอาไปเป็นวัตถุพยาน จึงถือได้ว่านางสังวาลย์ได้มอบให้แก่จำเลยตามความหมายของมาตรา 148 และเมื่อผิดตามมาตรา 148 แล้วก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยถึงมาตรา 157 อีก เพราะมาตรา 157 เป็นบทลงโทษทั่วไป มีอัตราโทษน้อยกว่า
พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น