แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นตำรวจประจำอยู่ในกรุงเทพ ฯ พากันไปแกล้งจับผู้เสียหายที่จังหวัดนครนายก หาว่าเล่นสลากกินรวบ ขอค้นบ้าน แล้วงัดลิ้นชักโต๊ะหยิบเอาเงินและปืนไปเพื่อประโยชน์แก่ตนดังนี้ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 14+ แล้ว แม้จำเลยจะหยิบเอาเงินและปืนนั้นไปเองก็ดี แต่เมื่อเป็นเพราะเหตุที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน ผู้เสียหายจึงไม่กล้าแย่งคืน หรือเพราะผู้เสียหายอาจจะเข้าใจว่าจำเลยเอาไปเป็นวัตถุพยาน ดังนั้น จึงถือได้ว่า ผู้เสียหายได้มอบให้แก่จำเลยตามความหมายของมาตรานี้แล้ว และเมื่อจำเลยมีความผิดตามมาตรา 148 แล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยถึงมาตรา 157 อันเป็นบทลงโทษทั่วไปซึ่งมีอัตราโทษน้อยกว่าอีก
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2506 เฉพาะที่เกี่ยวกับมาตรา 148)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า พลตำรวจสนิท จำเลยที่ ๑ เป็นตำรวจสังกัดตำรวจสันติบาล ปทุมวัน พลตำรวจจิตร จำเลยที่ ๒ สังกัดกองบังคับการปราบปรามปทุมวัน พลตำรวจสุรศิลป์ เป็นตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลเรือนจำกลางคลองเปรม มีอำนาจหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดได้ทั่วราชอาณาจักร (ส่วนนายสนุ่นจำเลยที่ ๔ เป็นราษฎร) จำเลยทั้ง ๔ ได้ร่วมกันกระทำผิดหลายกระทง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘,๑๔๙,๑๕๗,๓๐๙,๓๑๐,๘๓,๘๖ พระราชบัญญัติเครื่องแบบตำรวจ พ.ศ.๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๒) มาตรา ๖ (๒) และขอให้ริบของกลางกับให้จำเลยคืนเงินที่ยังไม่ได้คืน
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑,๒,๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๔,๑๔๗,๓๐๙,๓๑๐,๘๓ จำเลยที่ ๓ ผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องแบบตำรวจ พ.ศ.๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๒) มาตรา ๖(๒) อีกกระทงหนึ่งด้วย แต่ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มารตรา ๑๔๘ ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา ๔๐,๔๑ จำคุกคนละ ๖ ปี ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๔ เสีย เครื่องแบบตำรวจของกลางให้ริบ ส่วนเงิน ๔๐๐ บาท คืนให้จำเลยที่ ๓ คำขออื่นให้ยกเสีย
จำเลยที่ ๑,๒,๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องแบบตำรวจลงโทษจำคุก ๓ เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ ๑,๒
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑,๒,๓
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า วันเกิดเหตุเวลาราว ๑๗ น. นางสังวาลย์ไปเก็บผัก ห่างบ้าน(ที่ตำบลบ้านพริก อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก) ราว ๓ เส้น นายหนูสามีไปธุระยังไม่กลับ ที่บ้านมีแต่นางสาวอำไพบุตรสาว ขณะนั้นฝนตก นายโหน นายลำพึง นายชื้น นายศักดิ์ ได้มายืนหลบฝนอยู่ที่ใต้ชายคาหน้าบ้านมีรถยนต์แท็กซี่มาจอดที่ถนนหน้าบ้าน จำเลยที่ ๑,๒ ลงจากรถมายังคนที่หลบฝนอยู่ จำเลยที่ ๓ แต่งเครื่องแบบสิบตำรวจโท จำเลยที่ ๑,๒ ไม่ได้แต่งเครื่องแบบจำเลยที่ ๓ พูดขอตรวจค้น แล้วบังคับให้นายโทนกับพวกเข้าไปในบ้านนางสังวาลย์ โดยจำเลยที่ ๑,๒,๓ ตามเข้าไปด้วย จำเลยที่ ๓ ค้นได้กระดาษเขียนตัวเลขจากนายศักดิ์ นายศักดิ์ว่าเป็นของเขา จำเลยที่ ๓ ก็เอากระดาษวางบนโต๊ะเขียนหนังสือ พอดีนางสังวาลย์กลับมา จำเลยที่ ๑ บอกว่าเป็นนายร้องมาจากกรุงเทพ ฯ จะขอค้นสลากกินรวบและชูบัตรขนาด ๓ นิ้วให้ดู นางสังวาลย์ยอมให้ค้นขึ้นไปค้นชั้นนั้นไม่ได้อะไร จึงขอค้นโต๊ะที่ชั้นล่าง นางสังวาลย์บอกว่าสามีเอาลูกกุญแจไป จำเลยที่ ๑ ก็ใช้ขวานตีเหล็กเข้าไปที่ช่องลิ้นชักงัดออกมา หยิบเอาปืนออลเทอร์ ๑ กระบอก กับธนบัตร ๕,๐๐๐ กว่าบาท ขึ้นมาวางบนโต๊ะ จำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๒ เขียนบันทึกให้ผู้ที่ถูกจับลงชื่อ แล้วจำเลยที่ ๑ บอกว่าใช้ไม่ได้ และเขียนเองให้นางสังวาลย์ นายศักดิ์ นายลำพึง นายชื้น ลงชื่อเสร็จแล้วเอาแต่ นางสังวาลย์กับนายศักดิ์ไปขึ้นรถ จำเลยที่ ๓ หยิบธนบัตรและปืนไปด้วย นางสังวาลย์ถามว่าจะไปไหน จำเลยที่ ๑ บอกว่าไปกรุงเทพ ฯ แต่จะแวะลงประจำวันที่สถานีตำรวจบ้านนาก่อน เมื่อขึ้นรถแล้วรถบ่ายโฉบหน้าไปกรุงเทพฯ คนละทางกับอำเภอบ้านนา จำเลยที่ ๔ เป็นคนขับรถ นางสังวาลย์ถามว่าทำไมไปทางนี้ จำเลยที่ ๑ ว่า ไปสถานีตำรวจบ้านนารเสียเวลา จะไปสถานีตำรวจวิหารแดงแต่แล้วรอจำเลยก็ขับผ่านสถานีตำรวจวิหารแดงโดยไม่แวะ นางสังวาลย์ถามก็ไม่ตอบ พอถึงตำบลโคกกระต่ายจำเลยที่ ๓ ก็ถอดเครื่องแบบออก พอถึงเขาโป่งแร้ง พอดีมืดก็หยุดรถ จำเลยที่ ๑ ถือปืนลงจากรถ นางสังวาลย์ว่านี่เขาโป่งแร้ง จำเลยที่ ๑ พูดว่านี่แหละถึงที่ตาย พอดีรถนายนาคกำนัลกับตำรวจสายตรวจตามมาทัน จับจำเลยส่งสถานีตำรวจบ้านนา นางสังวาลย์แจ้งความว่าจำเลยปล้นทรัพย์และทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยแจ้งว่ามาจับการพนันสลากกินรวบ เจ้าหน้าที่สอบสวนแล้วเห็นว่า นางสังวาลย์ไม่ได้กระทำผิดฐานเล่นสลากกินรวบ นายศักดิ์กระทำผิดแต่ผู้เดียว ส่วนจำเลยได้ความว่าทุจริต ต่อหน้าที่ ขู่เข็ญเอาทรัพย์ ทำให้เสียอิสสรภาพ
ปัญหามีว่า จำเลยทั้งสามจะมีผิดตามกฎหมายบทใด ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสามเป็นตำรวจมีอำนาจที่จะจับกุมผู้ที่ตนเข้าใจว่ากระทำผิดอาญา ได้ทั่วประเทศไทย การที่จำเลยแกล้งจับนางสังวาลย์หาว่าเล่นสลากกินรวบ แล้วงัดลิ้นชักโต๊ะหยิบเอาเงินและปืนไปเพื่อประโยชน์ต่อตนเองเช่นนี้ ได้ชื่อว่าจำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจให้นางสังวาลย์ยอมเสียเงินและปืนให้จำเลย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๘๘ แล้ว แม้จำเลยจะหยิบเอาไปเองก็ดี แต่เพราะเหตุที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน นางสังวาลย์จึงไม่กล้าแย่งคืน หรืออาจจะเข้าใจว่า จำเลยเอาไปเป็นวัตถุพยาน จึงถือได้ว่านางสังวาลย์ได้มอบให้แก่จำเลยตามความหมายของมาตรา+ และเมื่อผิดมาตรา ๑๘๘ แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยถึงมาตรา ๑๕๗ อีก เพราะมาตรา ๑๕๗ เป็นบทลงโทษทั่วไป มีอัตราโทษน้อยกว่า
พิพากษาแก้ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น