แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การร้องทุกข์หรือการฟ้องคดีกล่าวหาว่าจำเลยหลอกลวงให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้จำเลยนั้น ไม่ถือว่าเป็นการบอกล้างโมฆียะกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 138
หากฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริต ทั้งได้มีการจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1329 และ มาตรา 1300 แล้ว โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เดิมจะขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนนั้นไม่ได้ (ทั้งนี้ มิพักต้องคำนึงถึงว่าผู้โอนทรัพย์สินให้จะได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยนิติกรรมอันเป็นโมฆียะและนิติกรรมนั้นถูกบอกล้างในภายหลังหรือหาไม่)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ 7537 ในเดือนพฤษภาคม 2496 วันใดไม่ปรากฏจำเลยที่ 1 กับพวกที่ยังไม่ได้ฟ้อง ใช้อุบายหลอกลวงด้วยเอาความเท็จมากล่าวแก่โจทก์ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้แทนธนาคารไทยพาณิชย์ ขอซื้อที่ดินของโจทก์ให้แก่ธนาคาร ถ้าโจทก์ประสงค์จะไม่ใช้เงินธนาคารจะทำหนังสือกู้ให้ไว้ และให้ดอกเบี้ยด้วย เวลาโอนก็ขอให้โจทก์ให้ถ้อยคำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าได้รับเงินค่าที่ดินเรียบร้อยแล้ว เมื่อโอนกันแล้วธนาคารจะออกหนังสือกู้ให้ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการเจตนาหลอกลวงให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 โจทก์หลงเชื่อได้โอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ 1 ไปเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2496 ในราคา 275,000 บาท แต่แล้วโจทก์ก็หาได้รับหลักฐานการกู้จากธนาคารไม่ โจทก์ทวงถาม จำเลยที่ 1กลับใช้อุบายหลอกลวงทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน2496 โจทก์เพิ่งทราบว่าธนาคารไทยพาณิชย์มิได้กู้เงินโจทก์ โจทก์จึงร้องทุกข์เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2497 และดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 รับสารภาพ ศาลตัดสินลงโทษ คดีถึงที่สุด เมื่อจำเลยที่ 1 ได้โฉนดไปจากโจทก์แล้วได้สมยอมขายฝากกับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่13 พฤศจิกายน 2496 จำเลยที่ 2 ได้โอนขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2498 นิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 ไม่ได้กรรมสิทธิ์ จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิจะโอนที่ดินให้แก่ใครต่อไป การจดทะเบียนระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2496 และระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2498 ตกเป็นโมฆะไม่ผูกพันโจทก์ ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1, 2, 3 เสีย ให้จำเลยโอนที่พิพาทมาเป็นของโจทก์ตามเดิมถ้าโอนไม่ได้ก็ให้ร่วมกันใช้ราคา 275,000 บาท และให้ใช้ดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่ 29 มิถุนายน 2499 จนกว่าจะใช้เงินเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า การซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้มีการจดทะเบียนโดยชอบ หากจะมีการหลอกลวงกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ก็ไม่สามารถจะทราบได้ จำเลยที่ 2 รับซื้อฝากไว้โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ตามฟ้องของโจทก์ก็รับในข้อนี้ ทั้งโจทก์ก็รู้เห็นด้วยในการขายฝากโจทก์ขอเพิกถอนนิติกรรมขายฝากไม่ได้การที่จำเลยที่ 1 หลอกลวงโจทก์นั้นนิติกรรมหาตกเป็นโมฆะไม่เป็นเพียงโมฆียะกรรมเท่านั้น บุคคลที่ 3 รับซื้อไว้โดยสุจริตและมีค่าตอบแทนแล้ว เจ้าของจะเรียกคืนไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1329 โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย เพราะไม่ได้ทวงถาม
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือไม่ไม่ทราบการซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จะเป็นการสุจริตหรือไม่ จำเลยที่ 2 ไม่อาจทราบได้ แต่จำเลยที่ 3 รับซื้อไว้จากจำเลยที่ 2 โดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยชอบแล้ว จำเลยที่ 3 ย่อมได้กรรมสิทธิ์นิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 หาตกเป็นโมฆะไม่ ยิ่งกว่านั้นโจทก์ก็ยังได้เช่าที่พิพาทจากจำเลยที่ 3 เป็นการรับรู้ว่าจำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์มาโดยสุจริต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1เกิดขึ้นโดยโจทก์สำคัญผิดในตัวบุคคลอันเป็นสารสำคัญแห่งนิติกรรมนิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงตกเป็นโมฆะ การโอนก็ไม่เกิดขึ้น กรรมสิทธิ์จึงยังเป็นของโจทก์ไม่ตกไปยังจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิเอาไปทำนิติกรรมแก่ผู้ใด การที่จำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่นี้ไว้จากจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีสิทธิจะขายฝากจึงไม่เกิดผล แม้การขายฝากจะหลุดเป็นสิทธิแก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็ไม่มีสิทธิเอาไปทำนิติกรรมขายฝากคนอื่น การที่จำเลยที่ 3 รับซื้อไว้จากจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีสิทธิก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 3 มีสิทธิเป็นเจ้าของที่ ไม่ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 จะทำโดยสุจริตเปิดเผย เสียค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม พิพากษาให้เพิกถอนทำลายนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้เพิกถอนทำลายการโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 3 โอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทกลับมาเป็นของโจทก์ตามเดิม โดยปราศจากภาระใด ๆ หากจำเลยไม่ยอมก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนายอมของจำเลยต่อไป
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นิติกรรมตกเป็นเพียงโมฆียะ แต่ตามฟ้องและข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกล้าง การร้องทุกข์ก็ดีการฟ้องก็ดีไม่ใช่การบอกล้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 138 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รับซื้อฝากและรับโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนได้รับความคุ้มครอง พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะที่ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ต้องรับผิดต่อโจทก์ นอกนั้นยืนตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ไม่ชี้ขาดว่าสัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกเป็นโมฆะและไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณานั้น ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบด้วยวิธีพิจารณาเพราะศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่านิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 121 ไม่ใช่ตกเป็นโมฆะดังคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏในสำนวนสนับสนุนคำพิพากษา จึงไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นกล่าววินิจฉัยแต่เฉพาะข้อเท็จจริงที่มีปรากฏในสำนวนเท่านั้น จึงเป็นการชอบแล้ว ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ได้ร้องทุกข์ ได้ฟ้องคดีเป็นการบอกล้างโมฆียะกรรมแล้วนั้นศาลฎีกาเห็นว่า การร้องทุกข์ก็ดี การฟ้องคดีก็ดี ไม่ใช่การบอกล้างโมฆียะกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 138 อย่างไรก็ดีศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์จะได้บอกล้างโมฆียะกรรมนั้นหรือไม่ ย่อมไม่ใช่ข้อสำคัญ เพราะข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังได้แล้วว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้มาซึ่งที่พิพาทโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์โดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1329 และมาตรา 1300 แล้วโจทก์ก็ย่อมขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนนั้นไม่ได้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ตกไป ส่วนฎีกาโจทก์ในข้ออื่นนั้น เป็นการกล่าววกเวียนเพื่อให้ฟังว่านิติกรรมตกเป็นโมฆะ ไม่มีทางเป็นไปได้ดังโจทก์กล่าวอ้าง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน