คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13841/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองจำคุกตลอดชีวิต จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาโดยไม่ได้อุทธรณ์ว่ามิได้กระทำผิด แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เห็นว่า คดีจำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงเสียก่อนว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดหรือไม่ ถือได้ว่าคดีได้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง แล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน คำพิพากษาดังกล่าวย่อมถึงที่สุดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยื่นฎีกา ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 มาจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 83, 91, 368 ริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์มือถือของกลาง นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4381/2549 และหมายเลขดำที่ 4937/2549 ของศาลชั้นต้น และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4381/2549 และหมายเลขแดงที่ 4783/2549 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม, 102 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา (ที่ถูก ต้องระบุ มาตรา 80 ด้วย) มาตรา 83, 368 (ที่ถูก ต้องระบุวรรคแรกด้วย) การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่าย เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต ฐานขัดคำสั่งของเจ้าพนักงานตามกฎหมาย จำคุก 10 วัน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุกตลอดชีวิต ฐานขัดคำสั่งของเจ้าพนักงาน เป็นจำคุก 5 วัน จำเลยทั้งสองต้องโทษสูงสุด จำคุกตลอดชีวิต จึงกำหนดโทษจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษของจำเลยทั้งสองต่อจากโทษของจำเลยทั้งสองในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4381/2549 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังมิได้พิพากษา จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ และนับโทษของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4937/2549 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4783/2549 ของศาลชั้นต้น ตามลำดับนั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลมิได้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงให้ยกคำขอในส่วนนี้ ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองจำคุกตลอดชีวิต จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบา โดยไม่ได้อุทธรณ์ว่ามิได้กระทำผิด แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เห็นว่าเป็นคดีที่ลงโทษจำเลยทั้งสองจำคุกตลอดชีวิต จึงได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดหรือไม่แล้วถือว่าคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสองแล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ดังกล่าวย่อมถึงที่สุดตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยื่นฎีกา ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 มานั้น ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 1

Share