แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ ธ. พ. จำเลยที่ 1 ก. จำเลยที่ 3 และที่ 4 ตกลงร่วมลงทุนซื้อที่ดินเพื่อนำมาจัดสรรขาย โดยมีหลักการและข้อตกลงว่า ที่ดินที่ร่วมจัดสรรทั้งหมดมีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ การค้าที่ดินต้องขออนุญาตจัดสรรจากราชการให้ถูกต้อง โดยต้องจัดตั้งบริษัทเพื่อดำเนินการ… หลังจากนั้นได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัท อ. และบริษัท ม. ขึ้น และโจทก์เบิกความเป็นพยานว่า โจทก์ จำเลยที่ 1 ก. จำเลยที่ 3 และที่ 4 ธ. กับ พ. ร่วมลงทุนจัดสรรที่ดินจำหน่าย โดยโจทก์ ธ. และ พ. ลงทุนด้วยเงิน ส่วนจำเลยที่ 1 และ ก. ลงทุนด้วยที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ ก. เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ ที่ดินที่ ก. ทำสัญญาจะซื้อจะขายจาก ป. และ ท. เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ กับที่ดินซึ่งจำเลยที่ 1 ให้ อ. กับ ว. บุตรชายถือกรรมสิทธิ์แทน สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ลงหุ้นด้วยที่ดิน ในการนี้ผู้ถือหุ้นทุกคนเห็นว่าการดำเนินการต้องทำในรูปนิติบุคคลตามระเบียบราชการ จึงจะจัดตั้งบริษัทขึ้น 2 บริษัท เพื่อดำเนินกิจการจัดสรรที่ดิน แบ่งเป็นบริษัทละไม่เกิน 500 แปลง จากคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ดังกล่าวย่อมเห็นได้ว่า การตกลงกันระหว่างโจทก์กับผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ ในการจัดสรรที่ดินจำหน่ายตามฟ้องนี้ มีลักษณะเป็นการตกลงกันของผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัท หาใช่มีเจตนาร่วมกันประกอบกิจการเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนไม่ เพราะผู้ถือหุ้นทุกคนมีเจตนามาแต่แรกที่จะจัดตั้งบริษัทขึ้นเพื่อดำเนินกิจการจัดสรรที่ดิน การทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่จะนำมาจัดสรรแปลงต่างๆ จึงเป็นไปเพื่อกิจการของบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นมา ดังนั้นเมื่อมีการจดทะเบียนตั้งบริษัทในเวลาต่อมาตามที่ผู้เริ่มก่อการตกลงกันแล้ว บรรดานิติกรรมสัญญาต่างๆ ที่ผู้เริ่มก่อการได้ทำไว้ และค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งผู้เริ่มก่อการได้ออกไปในการเริ่มก่อตั้งบริษัท เมื่อได้ให้สัตยาบันในการประชุมตั้งบริษัทแล้วย่อมผูกพันบริษัท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1108 (2) ผู้เริ่มก่อการคนใดออกค่าใช้จ่ายไปย่อมต้องไปว่ากล่าวเอาจากบริษัทที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามที่ตกลงกัน
ก่อนที่จะมีการจดทะเบียนตั้งบริษัท อ. และบริษัท ม. โจทก์ในฐานะผู้เริ่มก่อการบริษัทได้จ่ายเงินเป็นค่าที่ดิน ทั้งปรากฏต่อมาว่า บริษัท ม. ขออนุญาตค้าที่ดินแปลงที่ปรากฏในหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย จึงน่าเชื่อว่ามีการให้สัตยาบันในเรื่องนี้ในที่ประชุมตั้งบริษัทแล้ว ดังนี้ บรรดาค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินมัดจำตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่ผู้เริ่มก่อการทำไว้ เมื่อบริษัทถูกจัดตั้งขึ้นแล้ว ผู้ที่ออกเงินค่าใช้จ่ายย่อมต้องไปว่ากล่าวเอาแก่บริษัททั้งสองเอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เริ่มก่อการด้วยคนหนึ่งให้คืนเงินแก่โจทก์ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 15,328,938.55 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 15,132,692.39 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 3 สละข้อต่อสู้ตามคำให้การและแถลงรับข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ร่วมลงทุนเป็นหุ้นส่วนตามฟ้องจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเกษณี ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 2,595,901.40 บาท กับให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 2,595,901.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีจำเลยแต่ละคน ส่วนค่าทนายความกำหนดให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระ 25,000 บาท จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันชำระ 25,000 บาท และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าชำระบัญชีแก่โจทก์ 50,000 บาท ทั้งนี้ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเกษณีต้องไม่เกินกว่ากองทรัพย์มรดกของนางเกษณี คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ถึงแก่ความตาย นางสาวพรยุพา บุตรโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน พิเคราะห์แล้วฟังได้ว่า นางสาวพรยุพาเป็นทายาทของโจทก์ผู้มรณะ จึงอนุญาตให้นางสาวพรยุพาเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นสามีชอบด้วยกฎหมายของนางเกษณี นางเกษณีถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2540 โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล โจทก์ จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 และที่ 4 นายธีรชัย กับนายพรศักดิ์ ร่วมกันลงทุนซื้อที่ดินมาจัดสรรขาย โดยมีการจัดตั้งบริษัทองกรณ์ -ธานี จำกัด เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2538 และจัดตั้งบริษัทมหาชัยเรซซิเด้นส์ จำกัด เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2538 เพื่อดำเนินการค้าและจัดสรรที่ดิน ก่อนหน้าจดทะเบียนจัดตั้งบริษัททั้งสองได้มีการดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินที่จะนำมาจัดสรรโดยเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2538 ทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน 2 ฉบับ ฉบับแรก จำเลยที่ 3 ทำสัญญาจะขายที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 82/2498 หมู่ที่ 8 ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์ นายพรศักดิ์ นายธีรชัย และตัวจำเลยที่ 3 เอง ในราคาไร่ละ 700,000 บาท ระบุในสัญญาว่า ผู้จะซื้อชำระเงินให้ผู้จะขายในวันทำสัญญาแล้ว 8,400,000 บาท จำเลยที่ 3 และนายวัฒนชัย ทำสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 60 และ 23091 ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์ นายพรศักดิ์ นายธีรชัย และตัวจำเลยที่ 3 เอง ในราคาไร่ละ 700,000 บาท ระบุในสัญญาว่า ผู้จะซื้อชำระเงินให้ผู้จะขายในวันทำสัญญาแล้ว 7,865,025 บาท นอกจากนี้เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2538 นางเกษณีได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 44547 ถึง 44550, 49593 และ 44852 ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร กับตกลงโอนสิทธิตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายและวางมัดจำที่นายเปี่ยม และนางทองห่อ ตกลงจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 12688 ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ให้นางเกษณี ให้แก่บริษัทองกรณ์ธานี จำกัด โดยระบุในสัญญาว่านางเกษณีได้รับเงินมัดจำ 27,000,000 บาท แล้ว หลังจากนั้นกิจการของโจทก์กับพวกไม่ได้รับสินเชื่อจากธนาคารจึงไม่มีการดำเนินกิจการต่อ แล้วนางเกษณีตลอดจนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายไว้ให้แก่บุคคลภายนอก
เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนเป็นประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ นายธีรชัย นายพรศักดิ์ จำเลยที่ 1 นางเกษณี จำเลยที่ 3 และที่ 4 ตกลงร่วมลงทุนซื้อที่ดินเพื่อนำมาจัดสรรขาย โดยมีหลักการและข้อตกลงว่า ที่ดินที่ร่วมจัดสรรทั้งหมดมีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ การค้าที่ดินต้องขออนุญาตจัดสรรจากราชการให้ถูกต้อง โดยต้องจัดตั้งบริษัทเพื่อดำเนินการ… หลังจากนั้นได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัทองกรณ์ธานี จำกัด และบริษัทมหาชัยเรซซิเด้นส์ จำกัด ขึ้น และโจทก์ยังมีตัวโจทก์เบิกความเป็นพยานว่า โจทก์ จำเลยที่ 1 นางเกษณี จำเลยที่ 3 และที่ 4 นายธีรชัยกับนายพรศักดิ์ร่วมลงทุนจัดสรรที่ดินจำหน่าย โดยโจทก์ นายธีรชัย และนายพรศักดิ์ ลงทุนด้วยเงิน ส่วนจำเลยที่ 1 และนางเกษณีลงทุนด้วยที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของนางเกษณีเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ ที่ดินที่นางเกษณีทำสัญญาจะซื้อจะขายจากนายเปี่ยมและนางทองห่อ เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ กับที่ดินซึ่งจำเลยที่ 1 ให้นายโอภาสและนายวัฒนชัย บุตรชายถือกรรมสิทธิ์แทน สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ลงหุ้นด้วยที่ดิน ในการนี้ผู้ถือหุ้นทุกคนเห็นว่าการดำเนินการต้องทำในรูปนิติบุคคลตามระเบียบราชการ จึงจะจัดตั้งบริษัทขึ้น 2 บริษัท เพื่อดำเนินกิจการจัดสรรที่ดิน แบ่งเป็นบริษัทละไม่เกิน 500 แปลง จากคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ดังกล่าวย่อมเห็นได้ว่า การตกลงกันระหว่างโจทก์กับผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ ในการจัดสรรที่ดินจำหน่ายตามฟ้องนี้ มีลักษณะเป็นการตกลงกันของผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัท หาใช่มีเจตนาร่วมกันประกอบกิจการเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนไม่ เพราะผู้ถือหุ้นทุกคนมีเจตนามาแต่แรกที่จะจัดตั้งบริษัทขึ้นเพื่อดำเนินกิจการจัดสรรที่ดิน การทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่จะนำมาจัดสรรแปลงต่างๆ จึงเป็นไปเพื่อกิจการของบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นมา ดังนั้นเมื่อมีการจดทะเบียนตั้งบริษัทในเวลาต่อมาตามที่ผู้เริ่มก่อการตกลงกันแล้ว บรรดานิติกรรมสัญญาต่างๆ ที่ผู้เริ่มก่อการได้ทำไว้ และค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งผู้เริ่มก่อการได้ออกไปในการเริ่มก่อตั้งบริษัท เมื่อได้ให้สัตยาบันในการประชุมตั้งบริษัทแล้วย่อมผูกพันบริษัท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1108 (2) ผู้เริ่มก่อการคนใดออกค่าใช้จ่ายไปย่อมต้องไปว่ากล่าวเอาจากบริษัทที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามที่ตกลงกัน เมื่อได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่า ก่อนที่จะมีการจดทะเบียนตั้งบริษัทองกรณ์ธานี จำกัด และบริษัทมหาชัยเรซซิเด้นส์ จำกัด โจทก์ในฐานะผู้เริ่มก่อการบริษัทได้จ่ายเงินเป็นค่าที่ดิน ทั้งปรากฏต่อมาว่า บริษัทมหาชัย เรซซิเด้นส์ จำกัด ขออนุญาตค้าที่ดินแปลงที่ปรากฏในหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย จึงน่าเชื่อว่ามีการให้สัตยาบันในเรื่องนี้ในที่ประชุมตั้งบริษัทแล้ว ดังนี้ บรรดาค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินมัดจำตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่ผู้เริ่มก่อการทำไว้ เมื่อบริษัทถูกจัดตั้งขึ้นแล้ว ผู้ที่ออกเงินค่าใช้จ่ายย่อมต้องไปว่ากล่าวเอาแก่บริษัททั้งสองเอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เริ่มก่อการด้วยคนหนึ่งให้คืนเงินแก่โจทก์ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) และเมื่อวินิจฉัยดังนี้ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่นตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 อีก เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์