แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อสัญญาที่ให้สิ่งของและสัมภาระต่าง ๆ ของผู้รับจ้างซึ่งนำเข้าไปไว้ในบริเวณที่ก่อสร้างตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ว่าจ้างในเมื่อผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญา เพราะผู้รับจ้างผิดสัญญานั้น เป็นข้อสัญญาที่มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย และข้อสัญญาดังกล่าวใช้บังคับได้โดยไม่ต้องมีการส่งมอบทรัพย์สินนั้นอีก ถ้าหากในสัญญาระบุตัวทรัพย์สินไว้ชัดแจ้งแล้ว เพราะกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นย่อมโอนไปทันที่ตามผลแห่งสัญญาโดยไม่จำเป็นต้องมีการนับหรือชั่งตวงวัดอีก
ทรัพย์สินซึ่งเจ้าหนี้มีบุริมสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 251 นั้น หมาย ถึงทรัพย์สินของลูกหนี้เท่านั้น มาตรา 251 นี้หาได้บัญญัติให้เจ้าหนี้ให้เจ้าหนี้มีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ลูกหนี้ด้วยไม่
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 220 เป็นบทบัญญัติถึงรายละเอียดแห่งการมีบุริมสิทธิตามมาตรา 251 อีกต่อหนึ่งว่า การบังคับชำระหนี้ในฐานะมีบุริมสิทธิตามมาตรา 251 จะบังคับได้เพียงใด
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดหินลูกรังและหินทุบของจำเลยซึ่งกองอยู่รายทางในซอยวัดตากล่ำไว้ก่อน คำพิพากษา
กระทรวงการคลังยื่นคำร้องว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดไม่ใช่ของจำเลย แต่เป็นของโรงงานยาสูบกระทรวงการคลังผู้ร้องจำเลยได้นำมาใช้ทำถนนให้ผู้ร้องโดยมีสัญญากันว่า ถ้าจำเลยผิดสัญญา ผู้ร้องมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อบอกเลิกสัญญาแล้ว ให้สิ่งของและสัมภาระที่จำเลยนำมาใช้อยู่ ณ ที่ก่อสร้างต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสิ้น ปรากฎว่าจำเลยทำผิดสัญญาเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๐๑ ผู้ร้องบอกเลิกสัญญากับจำเลย ฉะนั้น ทรัพย์สิน สิ่งของและสัมภาระต่าง ๆ ที่อยู่ ณ ที่ก่อสร้างตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามสัญญา นับแต่วันที่ผู้ร้องได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว โจทก์ไม่มีบุริมสิทธิหรือสิทธิใด ๆ จะยึดทรัพย์รายนี้ได้ ขอให้ศาลสั่งถอนการยึด
โจทก์ให้การคัดค้านว่า หินลูกรังและหินทุบที่โจทก์นำยึดเดิมเป็นทรัพย์ของโจทก์ โจทก์ได้ขายให้จำเลย แต่จำเลยยังมิได้ชำระราคาซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลย จำเลยยอมรับผิดชดใช้ราคากับค่าเสียหายให้โจทก์ ปรากฎตามสำนวนคดีนี้ ตราบใดทรัพย์ที่ถูกยึดมิได้ชำระราคาและยังมิได้ส่งมอบให้ผู้ร้อง โจทก์มีบุริมสิทธิติดตามเอาชำระราคาได้ก่อนเจ้าหนี้อื่น สัญญาจ้างเหมาซึ่งผู้ร้องอ้างมีผลใช้บังคับได้ระหว่างบุคคลผู้เป็นคู่สัญญาเท่านั้น คู่สัญญาหาอาจทำความตกลงกันให้มีผลลบล้างบทกฎหมายได้ไม่ ทั้งไม่ปรากฎว่าจำเลยได้ส่งมอบทรัพย์ที่ยึดให้ผู้ร้องแล้ว กรรมสิทธิ์จึงยังเป็นของจำเลยอยู่ หาโอนไปยังผู้ร้องไม่ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะยึด เนื่องจากโจทก์กับผู้ร้องตกลงกันว่า ให้ผู้ร้องวางเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาทแทนทรัพย์พิพาท และให้ถือว่าเงินที่วางเป็นทรัพย์พิพาท ฝ่ายใดชนะมีสิทธิรับเงินไปได้ จึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องรับเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาทไปได้ตามข้อตกลง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามสัญญาจ้างระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ ข้อ ๑๗ มีข้อความว่า “ถ้าปรากฎว่าผู้รับจ้างทำการผิดสัญญาขึ้นเมื่อใดหรือทำการชักช้าซึ่งผู้จ้างเห็นว่าไม่มีหวังจะทำการนี้ให้แล้วได้ตามกำหนดเวลาในสัญญาแล้ว หรือ ฯลฯ ผู้จ้างมีสิทธิที่จะเลิกสัญญานี้ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ค่าเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดให้แก่ผู้รับจ้างเลย ในกรณีเช่นนี้ สิ่งของ และสัมภาระที่มีอยู่ ณ ที่ปลูกสร้างต้องตกเป็นของผู้ร้องทั้งสิ้น” ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อสัญญานี้สมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อผู้ร้องบอกเลิกสัญญากับจำเลย เพราะจำเลยผิดสัญญาแล้ว บรรดาสิ่งของและสัมภาระต่าง ๆ ของจำเลยซึ่งมีอยู่ ณ บริเวณที่ก่อสร้างก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทันทีตามข้อสัญญา ในกรณีเช่นนี้การส่งมอบหาจำเป็นไม่ เพราะกรรมสิทธิ์ย่อมโอนไปทันทีตามผลแห่งสัญญาโดยไม่จำเป็นต้องมีการนับหรือชั่งตวงวัด เพราะในสัญญาระบุตัวทรัพย์สินไว้ชัดแจ้งแล้ว การที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นผู้ทรงบุริมสิทธิพิเศษเหนือทรัพย์สินของจำเลยในอันที่จะได้รับชำระหนี้ที่ค้างชำระอยู่ก่อนเจ้าหนี้อื่น ผู้ร้องเป็นเพียงเจ้าหนี้สามัญไม่มีสิทธิดีกว่าโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ร้องมีฐานะเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกยึด มิใช่เพียงแต่จ้างหรือมีฐานะเป็นเจ้าหนี้จำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๕๑ นั้น กฎหมายระบุไว้ชัดว่าทรัพย์สินซึ่งเจ้าหนี้มีบุริมสิทธินั้นต้องเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ กฎหมายหาได้บัญญัติให้เจ้าหนี้มีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ลูกหนี้ด้วยไม่ ส่วนมาตรา ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น เป็นบทบัญญัติถึงรายละเอียดแห่งการมีบุริมสิทธิตามมาตรา ๒๕๑ อีกต่อหนึ่งว่า การบังคับชำระหนี้ในฐานะมีบุริมสิทธิตามมาตรา ๒๕๑ นั้น จะบังคับได้เพียงใด ฉะนั้น เมื่อวินิจฉัยมาแล้ว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นของผู้ร้องแล้ว ก็ไม่มีทางที่โจทก์จะอ้างบุริมสิทธิ และบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์ที่ถูกยึดได้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน