แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่ทางราชการอำเภอประกาศสงวนหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าไว้เพื่อใช้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้ในภายหลังได้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 ซึ่งมาตรา 4 และ 5 บัญญัติว่าการหวงห้ามที่ดินดังกล่าวต้องออกเป็น พระราชกฤษฎีกาก็ดีก็หามีผลลบล้างถึงที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประกาศดังกล่าวอยู่ก่อนแล้วไม่ ที่พิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งจะโอนแก่กันมิได้เว้นแต่จะอาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องใจความว่า โจทก์ทั้งสองต่างก็เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ และ 35 ไร่ ตามลำดับต่อมาโจทก์ทั้งสองไปยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมาเพื่อขอให้รังวัดออกโฉนดสำหรับที่ดินดังกล่าวจำเลยที่ 2 ซึ่งกระทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ซึ่งกระทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยอ้างว่าที่ดินดังกล่าวทางอำเภอจันทึกได้ประกาศหวงห้ามไว้เมื่อปี 2478 เพื่อใช้ประโยชน์ในทางราชการของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ทั้งสองห้ามจำเลยทั้งสี่กระทำการหรืองดเว้นกระทำการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งสอง และเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินตามฟ้อง
ก่อนจำเลยยื่นคำให้การ โจทก์ทั้งสองสำนวนยื่นคำบอกกล่าวขอถอนฟ้อง จำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ทั้งสองสำนวนให้การใจความว่าเดิมที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 โดยทางราชการได้ประกาศหวงห้ามไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในราชการของจำเลยที่ 1 ตามประกาศของนายอำเภอจันทึกที่ 2349/2478 ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2478ซึ่งมีผลบังคับโดยชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการหวงห้ามที่ดินที่มีอยู่ก่อนพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 ใช้บังคับ ทั้งพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้การรับรองการหวงห้ามดังกล่าวด้วยแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การที่ทางราชการอำเภอจันทึกได้ประกาศสงวนหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าไว้เพื่อใช้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามประกาศลงวันที่ 30 ตุลาคม 2478 นั้นแม้ในภายหลังได้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 ซึ่งมาตรา 4 และ 5 บัญญัติว่าการหวงห้ามที่ดินดังกล่าวต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาก็ดี ก็หามีผลลบล้างถึงที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประกาศดังกล่าวอยู่ก่อนแล้วไม่ ปัญหาว่าโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ได้สิทธิในที่พิพาททั้งสองแปลงหรือไม่ ประกาศของอำเภอจันทึก ลงวันที่ 30 ตุลาคม2478 เอกสารหมาย ล.2 มีข้อความตอนท้ายของประกาศว่า “ฉะนั้นตามเหตุที่กล่าวนี้ห้ามไม่ให้ราษฎรคนใดเข้าไปบุกรุกถากถางจับจองเป็นอันขาด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ส่วนที่ดินเฉพาะที่เป็นสิทธิของราษฎรมีมาแต่ก่อนแล้วก็ให้เป็นสิทธิคงเดิมห้ามไม่ให้ถากถางจับจองบุกรุกออกไปอีก” อันเป็นข้อยกเว้นมิให้ที่ดินที่เป็นสิทธิของราษฎรอยู่ก่อนแล้วกลายสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประกาศดังกล่าว ที่โจทก์ทั้งสองนำสืบว่า เดิมที่พิพาททั้งสองแปลงหลวงแพ่งนายอำเภอจันทึกในสมัยก่อนได้จับจองไว้ก่อนที่ทางราชการอำเภอจันทึกได้ประกาศสงวนที่ดินใน พ.ศ. 2478ต่อมาหลวงแพ่งได้ยกที่พิพาทให้นายอ๊อด และนางกอง บุตรคนละแปลงนายอ๊อดยกที่พิพาทแปลงของตนให้นายจันทร์ นายจันทร์ขายที่พิพาทให้โจทก์ที่ 1 ส่วนที่พิพาทแปลงของนางกองได้ยกให้โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรนางกอง โดยมีนายไพโรจน์ เพชรมะโนสัจจะสามีโจทก์ที่ 1 และนางถนอม เพชรมะโนสัจจะ นายสุควร แพ่งจันทึกนายมา ดวงตาทิพย์ ญาติพี่น้องของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 มาเบิกความสนับสนุน นั้น นายจันทร์ผู้โอนขายที่พิพาทแก่โจทก์ที่ 1 ได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าได้ที่พิพาทมาโดยการจับจองและก่นสร้างเองเมื่อ พ.ศ. 2493 ตามเอกสารหมาย จ.ล.1 ส่วนโจทก์ที่ 2ปรากฏว่าได้แจ้งการครอบครองที่พิพาทเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2498ตามเอกสารหมาย จ.8 และยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดเมื่อวันที่ 14มีนาคม 2528 ตามเอกสารหมาย จ.9 โดยระบุว่าได้ที่พิพาทมาโดยการจับจองเมื่อ พ.ศ. 2597 ศาลฎีกาเห็นว่า เอกสารดังกล่าวเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้สอบสวนทำขึ้นโดยนายจันทร์และโจทก์ที่ 2 ได้ลงชื่อรับรองไว้ในเอกสารดังกล่าว จึงน่าเชื่อว่านายจันทร์และโจทก์ที่ 2ได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินตามที่ปรากฏในเอกสาร พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบจึงขัดแย้งกัน ไม่อาจรับฟังได้ว่าที่พิพาททั้งสองแปลงเดิมเป็นสิทธิของราษฎรซึ่งมีมาตั้งแต่ก่อนทางราชการได้ประกาศสงวนที่ดินใน พ.ศ. 2478 ที่พิพาททั้งสองแปลงจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งจะโอนแก่กันมิได้เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1305 โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธิในที่พิพาท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน