คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1375/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำให้การของจำเลยที่ 2 ที่ว่าโจทก์ได้เช็คพิพาทไว้ในครอบครองโดยทุจริตนั้นทุจริตอย่างไรก็ไม่ได้กล่าวไว้ชัด ที่ว่าคบคิดกับบุคคลอื่น บุคคลอื่นนั้น เป็นผู้ทรงเช็คคนก่อนหรือไม่ หรือเป็นผู้ใดไม่ปรากฏ ที่ว่าโจทก์ควรรู้ว่าเช็คพิพาทมีการชำระหนี้แล้ว ก็ไม่ใช่คำยืนยันว่าโจทก์รู้ แปลความว่าอาจไม่รู้ก็ได้เช่นกันแล้วให้การว่าโจทก์ได้เช็คพิพาทมาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นคำให้การไม่ชัดแจ้ง ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทจาก ร. โดยคบคิดกันฉ้อฉล จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นพิพาท
จำเลยที่ 2 ให้ ร. นำเช็คแลกเงินสดจากโจทก์และมีการเปลี่ยนเช็คเรื่อยมาต่อมาได้รวมจำนวนเงินที่เป็นหนี้และกู้เงินเพิ่มอีกแล้วจำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้ไว้แก่โจทก์โดยเป็นการกู้เงินและการแลกเปลี่ยนเช็ค โจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่ได้ติดต่อกันโดยตรงแต่ติดต่อผ่าน ร. เช็คพิพาทจึงมีมูลหนี้โดยชอบ โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท จำเลยทั้งสองเป็นผู้สั่งจ่าย เมื่อธนาคารผู้จ่ายปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900,987และ 989

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 202,098.96 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 165,000 บาท นับแต่วันที่23 เมษายน 2541 และของต้นเงินจำนวน 35,000 บาท นับแต่วันที่ 4 พฤษภาคม2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่าการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทโดยคบคิดกันฉ้อฉล จึงไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่จำเลยที่ 2 นำสืบนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คพิพาทจากจำเลยทั้งสองผู้สั่งจ่ายในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่นางรัตตาเพื่อแลกเงินสด โจทก์ได้เช็คพิพาทไว้ในครอบครองโดยทุจริตคบคิดกับบุคคลอื่นซึ่งโจทก์ควรรู้ว่าเช็คพิพาทนั้นชำระหนี้เรียบร้อยแล้วหรือมิฉะนั้นโจทก์ก็ได้มาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามคำให้การดังนี้ที่ว่าโจทก์ได้เช็คพิพาทไว้ในครอบครองโดยทุจริตนั้นทุจริตอย่างไรก็ไม่ได้กล่าวไว้ชัด ที่ว่าคบคิดกับบุคคลอื่น บุคคลอื่นนั้นเป็นผู้ทรงเช็คคนก่อนหรือไม่ หรือเป็นผู้ใดก็ไม่ปรากฏ ที่ว่าโจทก์ควรรู้ว่าเช็คพิพาทมีการชำระหนี้แล้วก็ไม่ใช่คำยืนยันว่าโจทก์รู้ แปลความว่าอาจไม่รู้ก็ได้เช่นกัน แล้วยังให้การว่าโจทก์ได้เช็คพิพาทมาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นคำให้การไม่ชัดแจ้ง ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า โจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทจากนางรัตตาโดยคบคิดกันฉ้อฉลจึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ ยิ่งกว่านั้นในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 2 ก็นำสืบแต่เพียงว่าจำเลยที่ 2 ออกเช็คพิพาทให้แก่นางรัตตาไม่ได้นำสืบถึงเรื่องการโอนเช็คพิพาท ดังนั้นเมื่อเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งโดยไม่มีประเด็นที่จะนำสืบแล้ว แม้จำเลยที่ 2 จะยกปัญหาการโอนเช็คพิพาทโดยคบคิดกันฉ้อฉลขึ้นมาในอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นพิพาท ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

ฎีกาของโจทก์อีกข้อหนึ่งว่าเช็คพิพาทมีมูลหนี้โดยชอบนั้น โจทก์มีโจทก์เบิกความเป็นพยานว่า จำเลยที่ 2 ให้นางรัตตานำเช็คแลกเงินสดจากโจทก์และมีการเปลี่ยนเช็คเรื่อยมา ต่อมาได้รวมจำนวนเงินที่เป็นหนี้และกู้เงินเพิ่มอีกแล้วจำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้ไว้แก่โจทก์โดยเป็นการกู้เงินและการแลกเปลี่ยนเช็คโจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่ได้ติดต่อกันโดยตรงแต่ติดต่อผ่านนางรัตตา นางรัตตาพยานโจทก์เบิกความว่า นำเช็คของจำเลยทั้งสองไปแลกเงินสดจากโจทก์มาให้แก่จำเลยทั้งสองเป็นเวลาหลายปีแล้วมีการรวมเงินที่เป็นหนี้กับกู้เพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง จำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์จนเกิดกรณีพิพาทเป็นคดีนี้ เห็นว่า นอกจากโจทก์จะมีเช็คพิพาทเป็นหลักฐานแล้ว นางรัตตาซึ่งเป็นบุคคลที่รู้เรื่องดีที่สุดเบิกความสมข้างโจทก์ว่า เจ้าหนี้คือโจทก์ และจำเลยทั้งสองยังไม่ได้ชำระเงินตามเช็คพิพาท แม้คำเบิกความของนางรัตตาจะผิดไปจากคำเบิกความของโจทก์บ้างก็ไม่ใช่ในข้อสาระสำคัญ ส่วนฝ่ายจำเลยทั้งสองมีจำเลยที่ 2 เบิกความว่า ออกเช็คแลกเงินสดจากนางรัตตามาตั้งแต่ปี 2537 ถึงปี 2539 มีการรวมหนี้เป็นเงิน 165,000 บาท กู้เพิ่มอีก 35,000 บาทรวมเป็นเงิน 200,000 บาท จำเลยที่ 2 ออกเช็คพิพาทให้เพราะผ่อนชำระหนี้ให้แก่นางรัตตาเกินกว่าจำนวนหนี้แล้ว แต่นางรัตตาไม่คืนเช็คฉบับเก่าให้จากคำเบิกความของจำเลยที่ 2 เป็นเรื่องขัดต่อเหตุผล เป็นการผิดวิสัยที่จำเลยที่ 2 ซึ่งอ้างว่าชำระหนี้จนเกินจำนวนหนี้แล้วยังออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่นางรัตตาอีก พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเช็คพิพาทมีมูลหนี้โดยชอบ โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท จำเลยทั้งสองเป็นผู้สั่งจ่าย เมื่อธนาคารผู้จ่ายปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 900, 987 และ 989 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share