คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1375/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพตามคำฟ้องของโจทก์ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติตามคำฟ้องโจทก์ที่บรรยายไว้อย่างชัดเจนแยกการกระทำของจำเลยทั้งสองที่ร่วมกันลักเช็คของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างไป ปลอมเช็ค และใช้เช็คที่ปลอมนั้นไปยื่นต่อธนาคารเพื่อขอรับเงิน ซึ่งการกระทำแต่ละอย่างมีลักษณะที่แตกต่างกันต่างเป็นความผิดสำเร็จในตัว และเป็นการกระทำความผิดโดยอาศัยเจตนาแยกต่างหากจากกัน การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างกระทงหนึ่งและฐานปลอมตั๋วเงินและใช้ตั๋วเงินปลอมซึ่งต้องลงโทษฐานใช้ตั๋วเงินปลอมอีกกระทงหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันลักเอาเช็คธนาคารกสิกรไทยจำกัด (มหาชน) สาขาบางจาก รวม 6 ฉบับ เป็นเงินรวม 30 บาทของบริษัทฟู้ดแพค จำกัด ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2และอยู่ในความครอบครองดูแลรักษาของนายสุภัทร เอกกุล ไป จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำความผิดโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้ วานให้จำเลยที่ 1 ปลอมเช็คอันเป็นตั๋วเงินของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)สาขาบางจาก จำนวน 2 ฉบับ โดยจำเลยที่ 2 ได้นำเอาแบบพิมพ์เช็คทั้งสองฉบับดังกล่าวซึ่งมีลายมือชื่อของนายสุภัทร เอกกุล กรรมการผู้มีอำนาจกระทำแทนบริษัทฟู้ดแฟค จำกัด และมีตราประทับของบริษัทดังกล่าวซึ่งได้ลงไว้ในฐานะผู้สั่งจ่ายแล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันกรอกข้อความในช่องวันที่สั่งจ่ายตัวเลข “14 – 2 – 43” และกรอกข้อความว่า “เงินสด” หลังคำว่า “จ่าย” และกรอกข้อความที่เป็นจำนวนเงินว่า “ห้าแสนหกหมื่นบาทถ้วน” และเป็นตัวเลข”560,000 เศษ xx ส่วน 100″ ลงในช่องจำนวนเงินสั่งจ่ายซึ่งเว้นว่างไว้แต่แรก ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้รับความยินยอมจากนายสุภัทรเอกกุล และบริษัทฟู้ดแพค จำกัด ซึ่งจำเลยทั้งสองได้กระทำเพื่อนำเอาเช็คทั้งสองฉบับนั้นไปใช้ในกิจการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายสุภัทร เอกกุล บริษัทฟู้ดแพค จำกัด ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชนในวันเวลาดังกล่าวภายหลังจากจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมเช็คนั้นแล้วจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำเช็คที่ร่วมกันทำปลอมขึ้นทั้งสองฉบับดังกล่าวไปใช้โดยยื่นต่อธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาบางจากเพื่อขอรับเงินสดตามจำนวนที่ระบุในเช็ค ทั้งนี้ ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายสุภัทร เอกกุล บริษัทฟู้ดแพค จำกัด ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาบางจาก ผู้อื่นหรือประชาชน เหตุเกิดที่แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร และตำบลท้ายบ้านอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 91, 266, 268,335 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาเช็ครวม 6 ฉบับ เป็นเงิน30 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 เข้ามาใหม่ ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(11), (ที่ถูกคือ 335(11) วรรคแรก),266(4), 268 วรรคแรก การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานลักทรัพย์นายจ้างจำคุก 2 ปี ฐานปลอมตั๋วเงินและใช้ตั๋วเงินปลอม จำเลยที่ 2เป็นผู้ปลอมตั๋วเงินและใช้ตั๋วเงินปลอม ให้ลงโทษฐานใช้ตั๋วเงินปลอมเพียงกระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสองจำคุก 6 ปี รวมจำคุก 8 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 ปี ให้จำเลยที่ 2 คืนหรือใช้ราคาเช็ครวม6 ฉบับ แก่ผู้เสียหาย

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 2เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266(4), 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 266(4) อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นทั้งผู้ปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอมจึงให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 266(4) ตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 6 ปีลดโทษกึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพตามคำฟ้องของโจทก์ ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังเป็นยุติตามคำฟ้อง เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องไว้อย่างชัดเจนแยกการกระทำของจำเลยทั้งสองที่ร่วมกันลักเช็คของบริษัทฟู้ดแพค จำกัด ผู้เสียหายไป ปลอมเช็คและใช้เช็คที่ปลอมขึ้นนั้นไปยื่นต่อธนาคารตามเช็คเพื่อขอรับเงิน ซึ่งการกระทำแต่ละอย่างมีลักษณะการกระทำที่แตกต่างกัน ต่างเป็นความผิดสำเร็จในตัว และเป็นการกระทำความผิดโดยอาศัยเจตนาแยกต่างหากจากกัน การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share