คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ก่อนสอบคำให้การจำเลยที่ ๑ หลบหนี ศาลชั้นต้นออกหมายจับและสั่ง จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๑ ชั่วคราว ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ ๒ ไม่คัดค้าน เมื่อคดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว โจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใด ก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ แม้จำเลยที่ ๑ ยังมิได้ให้การ และอยู่ระหว่าง หลบหนี เมื่อไม่มีการคัดค้าน ศาลฎีกาก็อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลย ทั้งสองได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๒) จำหน่ายคดีจาก สารบบความ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองโกงเจ้าหนี้ ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ และมาตรา ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง แต่จำเลยที่ ๑ หลบหนีศาลชั้นต้นออกหมายจับและสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะ จำเลยที่ ๑ ชั่วคราว
จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษากลับว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐, ๘๓ ให้จำคุก ๑ ปี
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลย ทั้งสองจำเลยที่ ๒ ไม่คัดค้าน ส่วนจำเลยที่ ๑ หลบหนีและยังไม่ได้ให้ การแก้คดี
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว โจทก์จะถอนฟ้อง ในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ เมื่อไม่มีการคัดค้าน จึงอนุญาตให้ โจทก์ถอนฟ้องได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๒) ให้จำหน่ายคดี จากสารบบความ.

Share